ถึงเวลา อสังหาฯ สีเขียว เร่งภาครัฐ จูงใจภาษี Net Zero อีอีซีฯ มองอนาคตสร้างคุ้มค่าธุรกิจ

ถึงเวลา อสังหาฯ สีเขียว เร่งภาครัฐ จูงใจภาษี Net Zero  อีอีซีฯ มองอนาคตสร้างคุ้มค่าธุรกิจ
EEC Academy ดึงภาครัฐ-เอกชน Thai ESCO ผลักดันธุรกิจอสังหาฯไทย มีคาร์บอนเป็ นศูนย์ ผ่านรูปแบบ ‘Climate Finance and Investment’  จะเป็นอนาคตทางเศรษฐกิจ

ดร.เกชา ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จํากัด (EEC Academy) ในฐานะผู้จัดงาน The NOVA Expo 2025 ร่วมถ่ายทอดความรู้ด้านนวัตกรรมสีเขียวที่จะมาช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้น ในหัวข้อ “Green Innovation Revolution” ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 30 - 50 ล้านตันต่อปี ซึ่งหากรวม Operational Carbon หรือการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากการดําเนินงานตัวเลขอาจจะสูงถึง 150 ล้านตันต่อปี

อย่างไรก็ตาม หลายคนตระหนักถึงปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่เข้าขั้นรุนแรง ที่เกิดขึ้นและคิดในแบบเดียวกัน แต่ก็มีคนอีกจํานวนไม่น้อยที่อยากทํา แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งในวันนี้จําเป็นที่สร้างการเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “ปฏิวัติ”

โดยเริ่มตั้งแต่การติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง นั่นคือ

  • Design & Planning (การดีไซน์ แอนด์ แพลนนิ่ง) ด้วยการออกแบบและวางแผนกระบวนการ ทั้ง Green Construction Method and Material กระบวนการก่อสร้างที่เลือกใช้ เพื่อเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
  • Green Innovation Technology การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทําให้ได้ผลลัพธ์ ด้านการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
  • Green Operation Quality การก่อสร้างเพื่อสิ่งแวดล้อม
  • Green Innovation Energy พลังงานที่นํามาใช้ ดังนั้นการนําระบบ Cooling as a Service และ Future of Clean Air นวัตกรรมเพื่ออนาคตอากาศสะอาดมาติดตั้งในอาคารและคอนโดมิเนียมจะช่วยให้การใช้พลังงานลดลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

 

นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมคือ Investment ไม่ใช่ Cost

 

สิ่งแรกที่สําคัญคือ “ทัศนคติ” ต่อการประหยัดพลังงานของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ยังมองว่าเป็น “Cost” ในการติดตั้งเทคโนโลยีและอุปกรณ์จะทําให้ต้องใช้เงินที่มากขึ้น ทําให้ไม่ตอบรับกับแนวคิดการนํานวัตกรรมด้านพลังงานมาใช้กับธุรกิจและโครงการมากนัก ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว นวัตกรรมที่ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการ “Investment” ที่ลงทุนในวันนี้ สามารถลดการใช้พลังงาน และช่วยโลก พร้อมกับประหยัดเงินที่ต้องจ่ายไปกับค่าพลังงานในอนาคตด้วย เช่น ลงทุนติดตั้งโซลาเซลส์ ด้วยเงินจํานวนหนึ่ง แต่ทําให้ประหยัดค่าไฟ และเกิดความคุ้มค่าจากการลงทุนในระยะยาว 5-7 ปี

“ก่อนปี 2000 ถือว่าเป็นยุคมืด เวลาไปคุยกับสถาปนิกเรื่องการประหยัดงาน การทําระบบบําบัดนํ้าเสีย ไม่มีใครสนใจทําเลย สถาปนิกส่วนใหญ่สนใจเรื่องไอคอนิก การสร้างอัตลักษณ์ให้กับอาคารมากกว่าคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้ง กระจกรอบอาคาร เกิดแสงสะท้อนของกระจกและก่อปัญหาให้กับสภาพแวดล้อม จนมาช่วงหลังปี 2022 ค่อยเริ่มเห็นแสงสว่าง คนเริ่มให้ความสําคัญเรื่องอาคารประหยัดพลังงาน อาคารสีเขียว และต่อเนื่องมาถึงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่กระแสด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มบูม คนเริ่มพูดถึงคาร์บอนกันมากขึ้น” ดร.เกชา กล่าว

ดร.เกชา ยังชี้ให้เห็นว่า ภาคธุรกิจต้องยอมรับว่าวันนี้เป็นโลกใหม่จริง ๆ ต้องเริ่มทําความเข้าใจ และเร่งปรับตัว ก่อนจะเป็นทฤษฎีม้าตาย โดยม้าตัวหนึ่งที่เคยเก่งมาก แต่วันหนึ่งตายลงไป คนจะโฟกัสแค่เพียงว่าทําอย่างไรจะให้ม้าตัวนั้นฟื้น แต่ไม่ยอมก้าวข้าม และยอมรับ เช่นเดียวกับหลายธุรกิจที่ไม่ปรับตัวจนถึงวันที่ต้องปิดฉากลงไป

รวมถึงในกรณีของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีส่วนในการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างน้อย 37% อาจได้รับผลกระทบ และมีโอกาสทางธุรกิจน้อยกว่าคู่แข่งที่ปรับตัวได้เร็วกว่า ดังนั้นผู้ประกอบการควรปรับตัวและพาธุรกิจไปสู่ Go Green ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ตามแนวทาง ESG (Environment, Social และ Governance) เช่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษจากสถาบันการเงินสําหรับธุรกิจสีเขียว เป็นต้น

ผศ.ดร.สุกุลพัฒน์ คุ้มไพศาล สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คณะสถาปัตยกรรมสาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ Real Estate and Urban Development , The Future of Green Real Estate Embracing Innovation for Sustainable Growth โดยชี้ให้เห็นถึง“ความท้าทาย” และ “อนาคต” ของ อสังหาริมทรัพย์สีเขียว (Green Real Estate) ที่เกิดขึ้นว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจําเป็น และสร้างความคุ้มค่าทางธุรกิจ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสู่อสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน และ การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นความท้าทายที่ธุรกิจอสังหาฯกําลังเผชิญ ซึ่งแบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก คือ

 

  • ขาดการตระหนักรู้เกี่ยวกับการทําธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น
  • อุปสรรคด้านกฎระเบียบ

โดยที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์ในธุรกิจอสังหาฯส่วนใหญ่ยังให้ความสําคัญเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ทําให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยยังมีแนวคิดหลักในการจัดหา Location ที่ดีที่สุด ก่อสร้างแล้วต้องได้ผลตอบรับที่ดี โครงการขาดทุนน้อยที่สุด ส่งผลให้ขาดมุมมองว่าทําเลนั้นหากมีการก่อสร้างอาจส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม สวนสาธารณะ และชุมชนโดยรอบ ถึงระดับที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมได้ เช่น เมื่อก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จและเปิดใช้งานจะปล่อยควันสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแค่ไหน หรือระหว่างการก่อสร้างจะมีการปล่อยนํ้าเสียจากโครงการออกไปเท่าไหร่

ดังนั้นเมื่อกลุ่มผู้บริโภคเริ่มรับรู้และตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ ดีเวลลอปเปอร์ เริ่มหันมาให้ความสําคัญด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเริ่มทวนกระแสผู้บริโภคไม่ได้ จึงเริ่มมีการปรับตัว ทั้งการนําแนวคิดอาคารสีเขียว การนําพลังงานไฮโดรเจนมาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดพลังงาน การออกแบบโครงการตั้งแต่แรกเริ่มให้เป็น Passive Design เช่น การนําต้นไม้กันฝุ่ นมาปลูก การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ และเทคโนโลยีที่ช่วย

ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5

“สําหรับอนาคตของอสังหาฯที่ยั่งยืนนั้น ยังเป็นประเด็นด้านความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มตระหนักเกี่ยวกับอสังหาฯเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งกําหนดนโยบายและข้อบังคับที่จูงใจออกมา อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของความต้องการจากผู้บริโภคต่ออสังหาฯที่ยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการสร้างความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างโซลูชันที่ปรับขนาดได้และมีความคุ้มทุน” ผศ.ดร.สุกุลพัฒน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า 

โดยจะได้เห็นการพัฒนาอสังหาฯที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Homes) และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสีเขียว หรือ Green Technology รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของโปรแกรมการรับรองด้านกรีน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอสังหาฯสีเขียวได้ง่ายและราคาไม่แพง

ดังนั้นหากดีเวลลอปเปอร์ไม่เปลี่ยนแปลงการดําเนินธุรกิจอาจจะเจอแรงกดดันจากประชาคมโลก โดยสิ่งที่ทําได้ทันที เริ่มจากการออกแบบโดยใช้วัสดุที่ดี ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED (Leadership in Energy and Environmental Design: LEED) และนําเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า โดยอาคารที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมจะมีค่าเช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ขณะที่ต้นทุนที่ใช้เพื่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มแค่เพียง 5% เท่านั้น

 

เอสซีจี แนะ ร่วมมือสู่เป้าหมาย Net Zero

 

วิชัย รายรัตน์ ผู้อํานวยการพัฒนาอย่างยั่งยืน SCG และ เลขาธิการเครือข่ายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง (CECI) กล่าวถึงแนวทางสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอุตสาหกกรรมก่อสร้าง (Net Zero C Construction) ว่า การที่ประเทศไทยจะไปสู่ Net Zero ของการก่อสร้างในอนาคตได้นั้น จะต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือที่มาจากความตั้งใจของแต่ละบริษัท ที่มีเป้าหมายจะไปสู่การลดคาร์บอนของแต่ละบริษัท ที่ต้องมีการเกื้อหนุนและทํางานร่วมกัน พร้อมแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน เพราะสิ่งสําคัญที่สุด คือ ต้นทุน ถ้าหากไม่สามารถเพิ่มปริมาณการจัดการได้ ก็จะมีผลต่อต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนหลัก และมีราคาค่อนข้างแพง

ดังนั้นหากมีตลาดรองรับ มีความต้องการ(ดีมานด์) และมีการดําเนินการร่วมกัน จะทําให้ทุกคนสามารถเดินหน้าต่อไปสู่กระบวนการแลกเปลี่ยน การทํางาน จนทําให้ต้นทุนลดลง ราคาปรับมาสู่ความเหมาะสมเทียบกับที่เป็นอยู่เดิม ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีเป้าหมายไปถึง Net Zero อยู่แล้ว แต่หากมีการตั้งเป้าหมายแต่ไม่สามารถขายได้ ก็เดินต่อไปไม่ได้ สิ่งสําคัญคือ ต้องมีความต้องการที่มาจากเจ้าของอาคาร ที่ต้องมีความตั้งใจในการพัฒนาอาคารคาร์บอนตํ่า

ทั้งนี้ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาอาคารที่มีคาร์บอนตํ่า เช่น ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการจัดการที่ไม่เพิ่มต้นทุนให้กับเจ้าของอาคาร หรืออาจออกมาตรการบังคับการจะนําวัสดุต่างๆ ไปทิ้ง ต้องนํากลับมาจัดการใหม่ หรืออาจจะไปเพิ่มการวัดคาร์บอน ที่จะมีผลต่อภาษีที่จะต้องรับผิดชอบ เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกคนเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น และเป็นผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทําให้ต่างประเทศ หรือบริษัทข้ามชาติให้เครดิตในการนําเงินเข้ามาลงทุน ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากมีการบริหารจัดการเรื่องการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ

ในทางกลับกัน หากประเทศไทยไม่ได้ส่งเสริมเรื่องพลังงานสะอาด ที่จะช่วยส่งเสริมลดคาร์บอนแล้ว บริษัทต่างชาติ ก็อาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน เช่น ผู้ผลิตจีนได้เข้ามาตั้งฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ในประเทศไทย และขายในไทย เพราะมีระบบไฟฟ้ารองรับ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องซัพพอร์ตวัสดุ หรือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายพลังงานสะอาด เช่น แบตเตอรี่ พลังงานไฟฟ้าสะอาด และโซล่าร์ เพื่อป้อนให้กับโรงงานต่างๆในการผลิตสินค้า ซึ่งอาจจะต้องเป็นนโยบายระยะยาว หรือเป็นวาระหลักของประเทศไทย

ส่วนแนวทางในการที่จะทําให้ภาคเอกชนลดผลกระทบเรื่องการปล่อยคาร์บอนลงได้ หรือมีการปล่อยปริมาณคาร์บอนออกสู่อากาศน้อยที่สุดนั้น ต้องมองเรื่องการใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ การหาแหล่งพลังงานสะอาดเข้ามาเติม ทั้งภายในอาคารและจากภายนอก เช่น การใช้พลังงานจากโซล่าร์เซลเพื่อช่วยลดคาร์บอนได้ เพราะใน 1 อาคารจะมีส่วนที่ทําให้เกิดคาร์บอนต่างกัน เช่น Operation Carbon ที่เกิดจากการใช้พลังงานภายในอาคารมีสัดส่วนประมาณ 28% และอีก 11%

มาจาก Embodied Carbon (คาร์บอนแฝงที่วัดค่าคาร์บอน ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้นๆ) โดยการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ยกตัวอย่าง สินค้ากระเบื้องหลังคาที่เชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คาร์บอนจะลดลงน้อยเพราะเกิดจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

ขณะเดียวกันการนําระบบเทคโนโลยีและระบบดิจิตอลเข้ามาใช้ในอาคาร จะช่วยลดประหยัดพลังงานได้ดี สามารถบริหาร

จัดการตามความหนาแน่นของคนในแต่ละอาคาร และมีส่วนสนับสนุนเรื่องอาคารประหยัดพลังงาน เช่น โครงการ One Bangkok ที่มีการนําเทคโนโลยีมาใช้บริหารอาคารทั้งหมด

ดังนั้นกระบวนการที่จะเร่งให้เกิดการตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ภาษี และการแข่งขัน โดยในอนาคตอาจจะเห็นสินค้าที่บ่งชี้เรื่องคาร์บอนออกมาให้กับผู้บริโภคหรือผู้ใช้มากขึ้น

งาน "The NOVA Expo 2025 นวัตกรรมสีเขียวเปลี่ยนโลก" งานแรกและงานเดียวในไทยที่พร้อมให้ทั้งองค์ความรู้และแนวทางลงมือปฏิบัติ เพื่อสังคมโลกสีเขียว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 14 มีนาคม 2568 ณ ฮอลล์ 103 - 104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

TAGS: #อสังหาริมทรัพย์ #EECAcademy