เพอร์เฟค รวบตึงทุกช่องหารายได้ใหม่ในปี 68 ทำทั้งคอมมูนิตี้-ลงทุนโรงแรม-บ้านหรูเขาใหญ่-บ้านพร้อมอยู่3-6 เดือน-เข้าธุรกิจรับสร้างบ้าน เป้ารายได้หมื่นล.สิ้นปี
ศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย โรงแรม คอมมูนิตี้ มอลล์ เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ บริษัทวางแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายด้วยสินค้าหลากหลาย
สำหรับพอร์ตลักซูรี่นั้น บริษัทวางแนวทางการพัฒนาสินค้าโปรดักส์และการทำตลาดเพื่อเข้าถึงความต้องการอยู่อาศัยแท้จริงในกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยจะร่วมมือเพิ่มเติมกับโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ใน 4 ทำเล ประกอบด้วย
- แจ้งวัฒนะ
- รามคำแหง
- กรุงเทพกรีฑา
- บางนา
“ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดกับโรงเรียนนานาชาติบนทำเลดังกล่าว เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนฯ ทั้งผู้ปกครองชาวไทย และ กลุ่ม EXPAT ที่เข้ามาประกอบธุรกิจและทำงานในตำแหน่งระดับสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการโยกย้ายเข้ามาพักอาศัยในระยะยาว” ศานิต กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 5 โครงการ รวมมูลค่า 7,200 ล้านบาท ทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท และ อาคารพาณิชย์ 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังจะต่อยอดความสำเร็จในโครงการไฮไลท์พร้อมคอนเซ็ปท์ใหม่ ทั้งการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ ‘เพอร์เฟค เพลส’ ซึ่งเป็นแฟล็กชิพทำรายได้หลักให้บริษัท ใน 3 ทำเล คือ
- ราชพฤกษ์ 346
- รามอินทรา
- กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า
พร้อมเปิดโครงการ ‘มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ 2’ รองรับการเติบโตของถนนหอการค้าไทย ที่มีชุมชนขนาดใหญ่รวมโครงการของ 8 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ด้วยมูลค่ารวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโซนแจ้งวัฒนะ
สำหรับในพื้นที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา บริษัทฯ เตรียมพัฒนาโครงการ ‘เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่ 2’ ที่มีการลงทุนโรงแรมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ โดยจะนำประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการในต่างประเทศมาใช้ เพื่อทำให้เขาใหญ่เป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น
“รวมถึงการเปิดตัวบ้านริมทะเลสาบ เลค เลเจ้นด์ บางนา หลังประสบความสำเร็จทำยอดขายไปแล้วเกือบ 2,000 ล้านบาท ปีนี้จะมีการพัฒนารูปแบบใหม่ให้เป็นที่สุดของบ้านริมทะเลสาบ 100 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดระดับพรีเมี่ยม” ศานิต กล่าวพร้อมเสริมว่า
ทำบ้านพร้อมอยู่-เข้าตลาดรับสร้างบ้าน
นอกเหนือจากสินค้าพร้อมเข้าอยู่ได้ทันทีทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม บริษัทฯ ยังจะเพิ่มสินค้าบ้านแบบพร้อมเข้าอยู่ใน 3-6 เดือน ที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุบางอย่างได้ สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลาง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตรงตามไลฟ์สไตล์มากขึ้น
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทจะขยายไปยังธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มเติม โดยจะจับกลุ่มที่บริษัทมีความชำนาญ ได้แก่บ้านระดับกลางตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง
โดยในเบื้องต้น มีแผนให้บริการในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และเขตอีอีซี 3 จังหวัดซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตที่ดี โดยจะชูจุดเด่นในด้านประสบการณ์การก่อสร้างที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และรวดเร็วด้วยระบบการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปที่ไว้วางใจได้
“การรุกเข้าสู่ตลาดรับสร้างบ้าน นอกจากจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้จากตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 211,000 ล้านบาทแล้ว ยังทำให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทั้งบ้านในโครงการและบ้านสั่งสร้างบนที่ดินของตนเอง” ศานิต กล่าว
ลดหนี้หุ้นกู้ บริหารเสี่ยงการเงิน
ศานิต กล่าว่า สำหรับโครงสร้างการเงิน บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายจะลดภาระหนี้ลง เพื่อให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1 เท่าภายในปีนี้
โดยเฉพาะการลดหนี้หุ้นกู้ ปีที่ผ่านมาบริษัทชำระคืนหุ้นกู้ไปแล้ว 6,600 ล้านบาท เริ่มไตรมาสแรกของปีนี้มีการชำระคืน 2,650 ล้านบาท และยังมีแผนคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปีนี้อีก 3,700 ล้านบาท ด้วยวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงิน และการทะยอยปิดการขายโครงการต่างๆ
ทั้ง ‘ยู คิโรโระ’ คอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น ที่ปิดการขายเพนท์เฮ้าส์ 2 ห้องสุดท้าย มูลค่ารวม 1,150 ล้านเยนไปในไตรมาสแรก และยังคาดว่าจะสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ อยู่รวยคอนโด, เมโทร สกาย วุฒากาศ
โดยในไตรมาสที่ 2 เป้าหมายการลดหนี้หุ้นกู้ต่อเนื่องจะเป็นผลให้บริษัทมีหนี้หุ้นกู้เหลืออยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่เคยมีมูลค่าหุ้นกู้สูงสุดอยู่ที่ 20,000 ล้านบาทเมื่อปี 2563
จากแผนดังกล่าวในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
- โครงการแนวราบ 7,500 ล้านบาท
- คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท
- โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท
ขณะที่รายได้รวมปีนี้ประมาณการไว้ที่ 10,000 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จาก
- โครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท
- คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท
- โครงการร่วมทุน 1,500 ล้านบาท