เฟรเซอร์สฯ มองภาพใหญ่ เศรษฐกิจ-อสังหาฯไทยฟื้นปี70 ปรับทำคอนโดหรูหลังสวน-ขยายกลุ่มนิคมฯ

เฟรเซอร์สฯ มองภาพใหญ่ เศรษฐกิจ-อสังหาฯไทยฟื้นปี70 ปรับทำคอนโดหรูหลังสวน-ขยายกลุ่มนิคมฯ
เฟรเซอร์สฯ ปรับพอร์ตสินค้าเพิ่มกลุ่มลักซูรี่ เปิดตัว ‘เมย์แฟร์’ แบรนดเด็ดคอนโดหรูหลังสวน ลุยโครงการอยู่อาศัยในนิคมฯอารยะ รับแรงงานเข้าไทยในอนาคต

สมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์รองรับการเติบโตในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับทำเลศักยภาพสูง ได้แก่ คอนโดมิเนียมระดับหรูย่านบางนา และ โครงการที่อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรมอารยะ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น

โดย บริษัทฯ จะขยายพอร์ตไปกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับบนมากขึ้น โดยมีโครงการใหม่ ปี 2568 ที่เป็นไฮไลต์ อาทิ

  • แกรนด์ ริเวอร์ฟอนต์ ราชพฤกษ์-พระรามห้า มูลค่า 2,200 ล้านบาท (อยู่ในเซกเมนต์ลักซูรี ระดับราคา 25-50 ล้านบาท)
  • แกรนด์ดิโอ 2 โครงการ (เซกเมนต์ระดับบน ราคา 10-25 ล้านบาทในต่างจังหวัดครั้งแรก) นำร่อง จังหวัด นครราชสีมา และ จังหวัดขอนแก่น  มูลค่ารวม 3,331 ล้านบาท 

เดอะ แกรนด์ ราชพฤกษ์ – พระราม 5 หนึ่งในโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2568 เป็นโครงการที่ได้รับการรับรองโครงการบ้านเดี่ยว มาตรฐานอาคารเขียว LEED ในระดับ Gold   แห่งแรกในไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท

สมบูรณ์ กล่าวว่า ขณะที่ก่อนหน้ากลุ่มสินค้าหลักของบริษัทฯ มีแบรนด์ทาวน์โฮม Golden Town ระดับราคา 3-5 ล้านบาท แต่ในปีนี้บริษัทฯ พัฒนาแบรนด์ที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อเข้าถึงกำลังซื้อระดับสูงมากขึ้น อาทิ

  • GRAMOUR (บ้านเดี่ยว) กลุ่ม High Class ระดับราคา 10-25 ล้านบาท
  • GRAVITE (บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด) กลุ่ม Upper Class ระดับราคา 8-10 ล้านบา
  • GOLDINA (พรีเมียมทาวน์โฮม) เซกเมนต์ Upper Class ระดับราคา 5-8 ล้านบาท

“สถานการณ์กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้บริษัทฯ ชะลอการลงทุนโครงการอสังหาฯ ระดับกลาง-ล่าง จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่กระทบตลาดอสังหาฯในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาปกติในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2570” สมบูรณ์ กล่าว

โดยในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนเบื้องเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่า 9,803 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • บ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 5,531 ล้านบาท
  • บ้านแฝด 1 โครงการ มูลค่า 2,800 ล้านบาท
  • ทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่า 1,022 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท

“ปีนี้ เปิดตัวโครงการใหม่เท่ากับปีก่อน เพื่อทดแทน 8 โครงการเดิม มูลค่า 10,892 ล้านบาท ที่ปิดการขายเรียบร้อย ทำให้ปัจจุบันเฟสเซอร์ส มีโครงการอยู่ในมือทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่า 104,935 ล้านบาท“

 

ทำคอนโดหรู-ที่อยู่อาศัยนิคมฯ

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ คอนโดมิเนียมรูปแบบ Branded Residences ชื่อ ‘เมย์แฟร์’  บนทำเลซอยหลังสวน มูลค่า 8,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 500,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดเปิดตัวปี 2569

รวมถึงแผนในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทฯ เตรียมทำโครงการที่อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรมอารยะ ย่านบางนา โดยบริษัทจะพัฒนาเฟสแรกบนพื้นที่ 200 ไร่ มีทั้งรูปแบบบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยจากแรงงานในนิคมฯ ที่จะทยอยเข้ามาทำงานในอนาคตเมื่อนิคมฯก่อสร้างแล้วเสร็จ

“บริษัทที่ซื้อพื้นที่ในนิคมอารยะฯ เริ่มทำการก่อสร้างโรงงานขึ้นแล้ว คาดใช้เวลาสร้าง 1 ปี ก่อนที่พนักงานโรงงานจะทยอยเข้ามาทำงาน เราเตรียมที่ดิน 5-10 ไร่ ทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่าเพื่อรองรับ” สมบูรณ์ เสริม

 

อสังหาฯแข่งดุ-กำไรหด

 

พร้อมกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมอสังหาฯไทย ในขณะนี้ มีการแข่งขันสูง กดดันอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการเหลือ 25-27% จากเดิมที่ 30% ส่วนยอดขายชะลอตัวลง ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยที่อาจปิดโครงการภายใน 4 ปี ขยายเป็น 6 ปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1% ของมูลค่าโครงการ

“จากนี้อาจพัฒนาโครงการเล็กลง เพื่อรีเทิร์นเงินให้เร็วที่สุด เช่น จากซื้อที่ดิน 30-40 ไร่ เหลือ 20-25 ไร่ ทำให้พัฒนาบ้านลดลงเหลือ 200 ยูนิต จากเดิม 300-400 ยูนิต เป็นต้น” สมบูรณ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะให้ความระมัดระวังการลงทุนอย่างเข้มงวด หากไม่มีความต้องการมากพอก็จะชะลอการลงทุน แต่หากกำลังซื้อฟื้นตัวก็จะค่อย ๆ ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น จากปีนี้ 1.1 หมื่นล้าน ปีต่อ ๆ ไปอาจตั้งเป็น 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ เฟรเซอร์สตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน โดยจะทยอยขยายโครงการเมื่อเห็นสัญญาณฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ อย่างชัดเจนในปี 2570

 

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดฟื้นตัวในปี 2570 ได้แก่

 

  • เศรษฐกิจฟื้นตัว หลังจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คาดว่าการจ้างงานและกำลังซื้อจะกลับมา
  • ดีมานด์อสังหาหรูเพิ่มขึ้น ตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ยังคงแข็งแกร่ง
  • นิคมอุตสาหกรรมเติบโต: ความต้องการที่อยู่อาศัยจากแรงงานและพนักงานในเขตนิคมฯ เพิ่มขึ้น
  • การปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสม: พัฒนาโครงการขนาดเล็กลงเพื่อให้คืนทุนเร็วขึ้น

 

TAGS: #เฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ #FPT #อสังหาริมทรัพย์ #นิคมอารยะ