แอร์เอเชีย ห่วงตลาด ‘จีน’ หดเดินทางเที่ยวไทยต่อเนื่องอาจหลุดเป้า 8 ล้านคน ปี’68 ปรับแผนเจาะตลาดในประเทศ/มองตลาดใหม่ ‘อินเดีย-เอเชีย’ ย้ำ No.1 ส่วนแบ่ง 40% โดเมสติก
‘สันติสุข คล่องใช้ยา’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่าในปี 2568 บริษัทวางแผนบริหารจัดการธุรกิจและกลุ่มฝูงบินใหม่ ในเส้นทางการบิน (Flight) ระหว่างไทยและประเทศจีนในสัดส่วน 17% จาก 30% ในปี 2562 ช่วงก่อนโควิดของจำนวนไฟล์ตบินระหว่างประเทศทั้งหมด
โดยวางแผนให้บริการ Flight ไปยังจีนให้สอดคล้องตามช่วงฤดูกาล (By Seasonal) พร้อมลดจำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 76 ไฟลต์ต่อซีซัน จากเดิมอยู่ที่ 80 ไฟลต์ต่อซีซันแต่ ยังคงเส้นทางใน 9 เมือง ประกอบด้วย กวางโจว ฉงชิ่ง เซินเจิน คุนหมิง หางโจว เฉินตู อู่ฮั่น ซีอาน และ ฉางซา โดยในช่วง lean Season ยังพบว่ากลุ่มนักเดินทางจีนมีอัตราการจองที่นั่ง (Occupancy) สัดส่วน 84% จากก่อนหน้ามีอัตราฯอยู่ที่ 85-90%
“ช่วง 3 เดือนแรกปี68 ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเข้าขั้นโคม่า มองว่ารัฐต้องเร่งนโยบายโปรโมตการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยกับคนจีน เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และต้องทำทันที โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังต้องลุ้นสถานการณ์อีกที” สันติสุข กล่าว
ขณะที่ การท่องเทื่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ในปี 2568 จะฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนเกิดโควิดปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน โดยกลุ่มชาวจีน เคยขึ้นอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมามากสุดราว 10 ล้านคน
โดยในปี 2567 พบว่าในตลาดการเดินทาง นักท่องเที่ยวจาก อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน รัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นกลุ่มเดินทางสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ส่วนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเพียง 6.7 ล้านคน
ขณะที่ในปี 2568 ททท. ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเป็น 8 ล้านคน ซึ่งใน 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค. 68) มีนักเดินทางจีนมาไทยเพียง 1.5 ล้านคน
“หากคงสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนในอัตรา 1.5 ล้านคนต่อเนื่องจนถึง 4 ไตรมาส ยอดนักท่องเที่ยวจีนจะได้เพียง 6 ล้านคน ไม่เท่าปีก่อนด้วยซ้ำ” สันติสุข กล่าว
‘แอร์เอเชีย’ นับจากต้นปี-ปัจจุบัน มียอดนักท่องเที่ยวจีนเหลือ 2 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจากไฟล์ตบินระหว่างประเทศ จากเดิมเคยครองสัดส่วนสูงถึง 20% โดยนักเดินทางแบบกลุ่ม (Group Tour) ที่หายไปส่วนใหญ่ และเป็นกลุ่มนักเดินทางอิสระทดแทน (FIT)
โดยปัจจัยหลักทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทย หดตัวลงอย่างรุนแรงเป็นผลจากความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในไทยต่อเนื่อง หลังกรณีลักพาตัว ‘ซิงซิง’ ดาราจีน ที่ใช้ใช้ไทยเป็นเส้นทางค้ามนุษย์ รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวต่อเนื่อง
“นักเดินทางชาวจีนลดลงในไทย แต่ไปขยายตัวในตลาดเอเชียประเทศอื่น ๆ อย่าง ญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนแซงไทยครั้งแรกในปีก่อน ส่วนเวียดนาม ช่วงต้นปีนี้มีคนจีนไป 7 แสนคน เพิ่มขึ้น 200% ตลอดจนมาเลเซียก็ได้อานิสงส์จากจุดนี้“
จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ วางแผนเพิ่มรายได้ทั้งตลาดในประเทศ และขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ ทดแทน อาทิ
- อินเดีย เพิ่มจำนวนเที่ยวบินไสัดส่วน 18% จากเดิมสัดส่วน 8% ของจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศ
- เอเชียตะวันออก อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เพิ่มจำนวนเที่ยวบินสัดส่วน 16% จากเดิมสัดส่วน 15% ของจำนวนไฟล์ตบินอินเตอร์ฯ
- อาเซียน อาทิ เวียดนาม ลาว กัมพูชา เพิ่มจำนวนเที่ยวบินสัดส่วน 49% จากเดิมสัดส่วน 46% ของจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศ
ขณะที่แผนให้บริการเที่ยวบินในประเทศ (Domestic) จะเพิ่มเป็น 65% ส่วนต่างประเทศเหลือ 35% ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าตลาดในประเทศ ยังมีคามต้องการสูงและทำอัตรากำไร (Margin) ดีกว่าตลาดต่างประเทศราว 2 เท่าตัว ซึ่งแอร์เอเชีย ครองส่วนแบ่งการตลาดมในประเทศสูงถึง 40% ในปี 2567 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทั้งนี้ แอร์เอเชีย ยังมีแผนเพิ่มเครื่องบินอีกจำนวน 6 ลำ ส่งผลให้ในปี2568 จะมีฝูงบิน 66 ลำ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเที่ยวบินที่ปัจจุบันกลับมาประมาณ 80% และมีโอกาสให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายปี 2568 มีผู้โดยสาร 23-24 ล้านคน ส่วนอัตราขนส่งผู้โดยสาร (LOAD FACTOR) อยู่ที่ 90% ส่วนการเติบโตรายได้วางไว้ 15% (จากการขยายฝูงบิน)
จากในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสาร 21 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% โดยมี LOAD FACTOR 91% เพิ่มขึ้น 1 จุด และทำรายได้ทุบสถิติอยู่ที่ 49,436 ล้านบาท เติบโต 20% และกำไรสุทธิ 3,468 ล้านบาท เติบโต 647% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY)
ขณะที่ในปี 2568 บริษัทฯ ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางในประเทศ จะทะลุ 200 ล้านคน แซงช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวน 173 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา
สรุป จำนวนผู้โดยสาร/จำนวนเครื่องบิน เปรียบเทียบ ดังนี้
- 2568 (เป้าหมาย) 23-24 ล้านคน/66 ลำ
- 2567- 20.8 ล้านคน/60 ลำ
- 2566- 18.9 ล้านคน/56 ลำ
- 2562- 22.1 ล้านคน/ 63 ลำ/ (ก่อนโควิด)