ลอรีอัลเผยอุตสาหกรรมความงามทั่วโลกโตต่อเนื่อง พร้อมดัน ลอรีอัล ประเทศไทย สู่บริษัทความงามอันดับ 1 ชิงมูลค่าตลาด 1.49 แสนล้านบาท
บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแนวโน้มอุตสาหกรรมความงามปี 2566 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมสรุปผลประกอบการทั่วโลกในปี 2565 และเผยกลยุทธ์และปัจจัยเดินหน้าผลักดัน ลอรีอัล ประเทศไทย สู่บริษัทความงามอันดับ 1 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความงามควบคู่กับการขับเคลื่อน “พันธสัญญาด้านความยั่งยืน”
ในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดความงามทั่วโลกเติบโตต่อเนื่อง 6% ด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.5 แสนล้านยูโร หรือราว 9.4 ล้านล้านบาท ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังครองส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้สูงที่สุดที่ 41% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 22% ผลิตภัณฑ์กลุ่มเมคอัพยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 16% ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอมมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 11%
โดยในประเทศไทย ตลาดความงามมีขนาดเป็นอันดับเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ)
ปีที่ผ่านมาลอรีอัล กรุ๊ป ยังคงยืนหนึ่งในตลาดความงามในฐานะบริษัทความงามชั้นนำของโลก ด้วยตัวเลขการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับโลกที่ 10.9% คิดเป็นมูลค่า 3.83 หมื่นล้านยูโร และทำยอดขายทั่วโลกได้สูงถึง 7,000 ล้านชิ้น และด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซของลอรีอัลขยายตัว 8.9% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้ทั่วโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลที่ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และได้เริ่มต้นไตรมาสที่ 1 ปี 2566 อย่างแข็งแกรงด้วยการเติบโตที่ 13%
ส่วนลอรีอัล ประเทศไทย ในปี 2565 สามารถฟื้นตัวจากโควิดและมีอัตราเติบโตสองหลัก โดยได้ครองส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง นำโดยแบรนด์การ์นิเย่ (Garnier) ที่เป็นแบรนด์ความงามและดูแลผิวอันดับ 1 ในประเทศไทย และ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) อันดับ 1 ในกลุ่มเมคอัพ ในส่วนกลุ่มน้ำหอมนั้นลอรีอัล ได้เติบโตก้าวสู่อันดับ 2 ด้วยน้ำหอมจากแบรนด์ จาก อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté) ลังโคม (Lancôme) และ อาร์มานี (Giorgio Armani) จากแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง
นอกจากนี้แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ที่มีแบรนด์ ลา โรช-โพเซย์, วิชี่ และเซราวี ยังสร้างปรากฏการณ์ในการเป็นแผนกที่มีการเติบโตสูงที่สุดในบริษัทถึง 2 เท่าในระยะเวลาเพียง 3 ปี และได้มีการเปลี่ยนชื่อแผนกเป็น L’Oréal Dermatological Beauty จากเดิมคือ L’Oréal Active Cosmetics เพื่อสะท้อนพันธกิจในการส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวที่ดีพร้อมช่วยดูแลปัญหาโรคผิวหนัง
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า ความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมาทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความงามของลอรีอัล กรุ๊ป ด้วยตัวเลขที่เติบโตถึง 10.9% ด้วยปัจจัยสนับสนุนและเทรนด์จากทั่วโลกที่ผู้คนมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม ประสิทธิภาพและคุณภาพสูง รวมถึงผลิตภัณฑ์พรีเมียมมีระดับแบบจับต้องได้
ขณะเดียวกัน ลอรีอัล ประเทศไทย ก็มุ่งสู่การเป็นบริษัทความงามอันดับ 1 โดย ในปี 2565 ลอรีอัล ประเทศไทย สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากหลายแบรนด์และเติบโตภาพรวมด้วยเลขสองหลัก นับเป็นความภาคภูมิใจของเราที่ได้ขับเคลื่อนตลาดความงามไทยด้วยแบรนด์ระดับโลก 15 แบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ปัจจัยความสำเร็จนี้มาจากทั้งนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่มาจากการวิจัยและพัฒนาระดับโลก การทำงานด้านดิจิทัลเพื่อเข้าถึงเพื่อผู้บริโภคในทุกช่องทาง รวมถึงการทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในการผลักดันแคมเปญเพื่อข้อเสนอที่ดึงดูด และมอบประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้บริโภคชาวไทยในทุกเซ็กเมนต์
สำหรับภาพรวมตลาดความงามในประเทศไทยปี2565 มีมูลค่ารวมราว 1.49 แสนล้านบาท นำโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวถึงราว 60% ผลิตภัณฑ์ดูแลผม 20% เครื่องสำอาง 14% และน้ำหอม 6% โดยมีแนวโน้มเติบโตสองหลักด้วยผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับการดูแลผิวและชอบลองนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากนี้ ลอรีอัลเล็งเห็นว่าตลาดความงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ รวมถึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ความงามเป็นได้ทั้งการส่งเสริมความมั่นใจ การบ่งบอกตัวตน ไปจนถึงการสะท้อนค่านิยมในสังคม สามารถส่งเสริมการเปิดกว้าง ความเท่าเทียมทางเพศ และท้าทายนิยามหรือบรรทัดฐานเดิมๆ ลอรีอัลจึงมุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนตลาดความงาม ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และวิทยาศาสตร์เอาไว้ด้วยกัน