โพลหอการค้าฯ ระบุเปิดเทอมใหม่ค่าใช้จ่ายพุ่งเงินสะพัด 5.7 หมื่นล้านบาท ค่าเล่าเรียนไม่ขยับ ขณะที่เครื่องแบบนักเรียนปรับราคาบางรายการ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจโพล “ประเมินผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,230 ตัวอย่างทั่วประเทศ ว่าสถานการณ์การใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมทั่วประทศจะมีเงินหมุนเวียน รวมทั่วประเทศกว่า 57,885 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปีนับตั้งแต่การทำผลสำรวจมาเมื่อปี 2553 เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2562
ทั้งนี้ภาพรวมค่าใช้จ่ายการเปิดเทอมปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากก่อนช่วงสถานการณ์โควิด แต่เป็นการฟื้นตัวแบบเฉพาะกลุ่มหรือ ฟื้นตัวแบบ K Shape โดยผู้ปกครองพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้นอย่างระมัดระวัง เพราะคนหลายกลุ่มยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนต่อบุตร 1 คน มีค่าเทอม เฉลี่ย 9,500 บาท / ค่าบำรุงโรงเรียน เฉลี่ย 2,300 บาท / และค่าหนังสือเรียน / อุปกรณ์การเรียน และเครื่องแบบนักเรียน ที่ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายยังเฉลี่ยเท่ากับปีที่แล้ว
ส่วนเครื่องแบบนักเรียนบางอย่าง เช่น รองเท้า และถุงเท้า มีการปรับราคาขึ้น โดยค่าใช้จ่ายจะเฉลี่ย 19,500 บาทต่อบุตร 1 คน แม้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ 63% จะบอกว่ามีเงินเพียงพอกับการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม แต่ที่เหลืออีก 36.5% นั้นตอบว่าเงินไม่เพียงพอ ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่ต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2559
เมื่อสอบถามถึงปัญหาทางการศึกษาคือการเรียนออนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ขณะที่หลักสูตรการเรียนการสอนที่ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และจำนวนครูที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ
ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองด้านการศึกษานั้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องการโครงการอาหารฟรีให้กับเด็กนักเรียน ยกเลิกระบบแปะเจี๊ย ส่งเสริมโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น และนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลปรับปรุบด้านการศึกษา คือควรปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุและพัฒนาการของเด็ก การพัฒนาเสริมสร้างโรงเรียนของรัฐบาลให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับเอกชน เพิ่มเวลาให้ครูสอนเก็กได้มากขึ้น