ส.อ.ท.ลุ้นหน้าตารัฐบาลใหม่ ตั้งทีมเศรษฐกิจดึงผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์รับมือภูมิศาสตร์โลกเปลี่ยน เดินหน้าเร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชนเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนมีการตื่นตัวมากขึ้นและต้องการการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงสูงสุดและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะรวมกับพรรคเพื่อไทยที่ได้รับคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ดังนั้นภาคเอกชนจึงต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดและที่สำคัญต้องมีเสถียรภาพเพราะหากรัฐบาลไม่มั่นคงจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้
“ รัฐบาลต้องเร่งตั้งให้เร็วที่สุดยิ่งช้าก็ยิ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นและคะแนนเสียงของรัฐบาลต้องมีมากพอเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองง่ายและเราเองก็ไม่อยากเห็นการประท้วงบนถนนหากมีปัญหาจะกระทบท่องเที่ยวที่จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจในปีนี้อีก”
นอกจากนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ควรจะต้องเป็นทีมที่มีประสบการณ์การแม้ว่ากรณีที่พรรคก้าวไกลอาจจะไม่มีแต่ก็ต้องดึงคนรุ่นใหม่ๆมาร่วมคิด และทำงานเป็นทีมไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะภายใต้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) และหน่วยงานรัฐต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ เพราะท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่แบ่งเป็น 2 ขั้วระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรป(อียู) กับรัสเซียและจีนไทยต้องอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าหลักอันดับ 1 และ 2 ทั้งคู่ให้ได้ดังนั้นการเดินเกมระหว่างประเทศจึงต้องเป็นไปด้วยความชาญฉลาด ซึ่งส.อ.ท.พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกรัฐบาล
สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือการแก้ไขปัญหาปากท้องชาวบ้านที่ขณะนี้หนี้ครัวเรือนของไทยสูงมาก ท่ามกลางราคาพลังงานโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่แพงซึ่งหากมองเบื้องต้นนโยบายที่หาเสียงไว้ของก้าวไกล และเพื่อไทยที่เหมือนกันคือ การดูแลราคาพลังงานโดยเฉพาะมีเป้าหมายที่จะลดค่าไฟลงจึงเป็นสิ่งที่จะถูกจับตามองใกล้ชิดว่าจะทำได้หรือไม่อย่างไร
นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้ง 2 พรรคก็มีแนวทางเช่นกันโดยเพื่อไทยจะขึ้นเป็นอีก 600 บาทต่อวันในปี 2570 ขณะที่ก้าวไกลนั้นขึ้นทันที 450 บาทต่อวันและปรับทุกปีซึ่งนับเป็นการขึ้นแบบก้าวกระโดดและก้าวข้ามการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง(ไตรภาคี) ดังนั้นคงจะต้องติดตามว่าจะมีมาตรการอะไรมาเยียวยาผลกระทบให้กับกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้นและผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)หรือไม่
“ผมคิดว่าการหาเสียงแบบประชานิยม แจกเงิน แบบเก่าประชาชนมีบทเรียนว่าทำไม่ได้จริงและไม่มีแหล่งที่มาของเงิน ดังนั้นจากนี้นโยบายต่างๆ ที่หาเสียงไว้ของพรรคที่เป็นรัฐบาลจะถูกประชาชนติดตามใกล้ชิดซึ่งต้องทำได้จริงๆ และที่มาของเงินชัดเจนด้วย “นายเกรียงไกรกล่าว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ได้จัดทำข้อเสนอต่อพรรคการเมืองให้ทราบถึงความต้องการของภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาในการดำเนินธุรกิจไปแล้วหลักๆ 6 ข้อได้แก่ การยกระดับขีดแข่งขันประเทศ การปฏิรูปกฏหมายที่ล้าสมัย การส่งเริมให้ไทยเป็นฮับเทคโนโลยี การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน การสนับสนุนเอสเอ็มอี การขับเคลื่อนเศรษฐกิจBCG