“กกพ.”ถอดบทเรียนวิกฤตพลังงาน เร่งพัฒนากลไกกำกับรองรับพลังงานหมุนเวียน ลดพึ่งก๊าซฯต้นเหตุทำไฟแพง เตรียมประกาศ “ค่าไฟสีเขียว” ติดอาวุธเอกชนตอบโต
คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ตั้งเป้าหมายการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ จะสร้างกลไกเพื่อเพิ่มการแข่งขัน ทั้งกิจการก๊าซธรรมชาติที่ต้องปรับปรุงโครงสร้าง และสนับสนุนการใช้พลังงานสีเขียวในราคาที่ยอมรับได้
ทั้งนี้ที่ผ่านมาไทยพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยเป็นก๊าซฯในอ่าวไทย และพม่าเป็นหลัก รวมถึงนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)เป็นส่วนน้อย แต่เมื่อเกิดความไม่ต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสัมปทานก๊าซในอ่าวไทย และวิกฤตราคาพลังงานในตลาดโลก ทำให้เกิดเป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องนำไปปรับปรุงแนวทางกำกับการผลิตก๊าซในอ่าวไทย และการนำเข้าแอลเอ็นจีเพื่อจูงใจให้ตลาดมีการแข่งขันลดการผูกขาด
กรณีที่มีการนำเข้าแอลเอ็นจีจำนวนมากเพื่อทดแทนแหล่งก๊าซฯในอ่าวไทยและพม่า ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ เช่น น้ำมัน พลังน้ำ และพลังงานหมุนเวียน เพื่อมาทดแทนการนำเข้าแอลเอ็นจีที่มีราคาแพงในระยะสั้น
ในระยะยาวต้องให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้พลังงานสีเขียวตอบสนองความต้องการภาคธุรกิจการค้า และการลงทุนของภาคเอกชนระหว่างประเทศ ซึ่งมีความต้องการซื้อและได้รับการรับรองการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนจากมาตรการภาษีคาร์บอนข้ามแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) และข้อกีดกันทางการค้าการลงทุนอื่นๆ
หนึ่งในกลไกสำคัญได้แก่ ไฟฟ้าสีเขียว หรือ Green Tariff ที่ออกแบบให้มีการขายไฟฟ้าพร้อมใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน ( Renewable Energy Certificate ) หรือ (Rec) ที่สามารถระบุที่มาของแหล่งผลิตไฟฟ้าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว โดยไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและยุ่งยากกับกระบวนการออกใบรับรอง
ปัจจุบัน Green Tariff ได้รับความนิยมและมีให้ใช้แล้วในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยที่มีโครงสร้างการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Regulated Market นั้น กกพ. มีแนวคิดที่จะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้จากการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แบบ FiT ปี 2565 - 2573 จำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ที่รัฐได้รับสิทธิ์ใน REC มาเป็นองค์ประกอบหลักของ Green Tariff
ขณะเดียวกันยังมีการขยายผลให้รวมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของ กฟผ. ในอนาคตที่จะมีการผลิตเพิ่มเติมตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ( PDP) และการผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ที่รัฐมีกรรมสิทธิ์ใน REC ให้มารวมอยู่ใน Green Tariff
อย่างไรก็ตามกกพ.อยู่ระหว่างเตรียมหลักเกณฑ์ตามขั้นตอนแห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสามารถกำหนด อัตรา Green Tariff ได้อย่างเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียว และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
คมกฤช กล่าววา ช่วงเปลี่ยนผ่านของกระบวนการผลิตและใช้พลังงานประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นจากที่มีสัดส่วนอยู่ 10% ผ่านกระบวนการรับซื้อตามแผน PDP ซึ่งมีหลายโครงการที่ผ่านกระบวนการรับซื้อแล้วในอดีตแต่โครงการก็ยังไม่สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในหลายๆ โครงการ เช่น โครงการ SPP Hybrid จึงจำเป็นต้องปรับแนวทางการคัดเลือกเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการที่จะได้มาซึ่งพลังงานสีเขียวเข้าสู่ระบบมากขึ้น และเพียงพอกับความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันมีการส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เอง โดยกกพ.ร่วมกับ 3 การไฟฟ้า เร่งรัดกระบวนการและขั้นตอนการอนุญาตและการเชื่อมต่อระบบให้สามารถดำเนินการ COD หรือเชื่อมต่อระบบได้ภายใน 30 วัน หลังจากได้รับแจ้งการก่อสร้างแล้วเสร็จ
การผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า จึงมีความจำเป็นจะต้องมีการวางแผน PDP ให้มีความสอดคล้อง โดยให้มีกำลังการผลิตหลักและการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนในส่วนที่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มีความสมดุล เหมาะสม และไม่กระทบต่อความมั่นคงและราคาพลังงานมากเกินไปหรืออยู่ในระดับที่ยอมรับได้
“จากอดีตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กกพ. ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการกำกับและการคิดราคาพลังงานให้เหมาะสม และสอดคล้องกับโครงสร้างกิจการพลังงาน ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการคิดราคาก๊าซธรรมชาติและการคิดราคาไฟฟ้าให้มีการแยกส่วน (Unbundling) ให้มีความยืดหยุ่นต่อโครงสร้างกิจการพลังงานที่อาจต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในอนาคต”