‘พิธา’ถกร่วมส.อ.ท ชื่นมื่น ชี้ไม่ขึ้นค่าแรงแบบกระชากเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจ เชื่อลดค่าไฟฟ้าทำได้ทันที เบรคสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำจัดทุนผูกขาด
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจว่า การมาพบวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ที่จะมีการหารือในประเด็นเศรษฐกิจ โดยหลังจากนี้จะเริ่มลงในรายภาค ทั้งยานยนต์ สิ่งทอ ปิโตรเคมี ตลอดจนการสนับสนุนให้เอสเอ็มอีมีแต้มต่อ ต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในประเด็นการปรับขึ้นค่าแรง นั้นอยากให้ทางส.อ.ท.สบายใจว่า การปรับขึ้นค่าแรงไม่ใช่มองด้านเดียว แต่มีนโยบายช่วยเหลือในเรื่องการลดภาษี การเพิ่มลดหย่อนภาษี 2 เท่า รวมถึงมาตรการสมันยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เคยมีแนวคิดจะเพิ่มสภาพคล่องอะไรได้บ้าง
ส่วนกรอบตัวเลขการขึ้นค่าแรงงานตอนนี้อยู่ในสถานะการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาล ต้องมีการพูดคุยกันต่อ โดยหลังจากนี้จะหารือกับสภาแรงงาน สภาเอสเอ็มอี ซึ่งจะต้องคำนวณอัตราให้รอบคอบ แต่สิ่งสำคัญคือ ไม่ได้มองแค่ตัวเลขอย่างเดียว ทั้งพรรคก้าวไกลและผู้ประกอบการมองร่วมกันว่า ไม่อยากให้ปรับขึ้นค่าแรงกระชากเกินไป อยากให้ขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ หรือแม้แต่ประสิทธิภาพแรงงาน โดยค่าเฉลี่ยที่ผ่านมาค่าแรงปรับขึ้นมา 1% ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัว2 %
“ส่วนค่าแรงจะขึ้น 450 บาทหรือไม่นั้นยังเป็นกรอบที่ต้องพูดคุยกันกับสภาแรงงานก่อน และต้องผ่านกระบวนการคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งคงต้องหลังจากที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก่อน อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงต้องพิจารณาให้เหมาะสมก่อน หลังจากนั้นจึงจะยกระดับทักษะแรงงานให้ขึ้นมา
ขณะนี้เป็นรัฐบาลผสม จำเป็นต้องมีการพูดคุยกันตัวเลขยังไม่อยากลงในรายละเอียดเพราะไม่ต้องการให้มีความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ โดยจะรับฟังอย่างรอบคอบทั้งสอท. หอการค้าไทย สภาเอสเอ็มอี สภาแรงงาน
สำหรับประเด็นค่าไฟฟ้า ตอนนี้ มีการปรับสูตรค่าไฟฟ้า ยืดภาระจ่ายหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) คิดเป็นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ 22 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งสามารถลดค่าไฟฟ้าไปได้ 7 สตางค์แล้ว ส่วนที่เอกชนเสนอมาให้ลด 70 สตางค์ก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)ปรับลดลงมามากแล้ว
รวมถึงการทบทวนค่าพร้อมจ่ายให้โรงไฟฟ้า ที่ผ่านมายังมีความเห็นไม่ตรงกัน ในกรณีของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตใหม่ แม้หลังครม.ล่าสุดได้ผ่านความเห็นชอบแผนผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 1 หมื่นเมกะวัตต์ อาจต้องชะลอออกไปก่อน นอกจากนี้จะเข้าไปตรวจสอบว่ามีปัญหาผูกขาดอุตสาหกรรมพลังงานอะไรบ้างเพื่อลดปัญหาในระยะยาว
ส่วนปริมาณสำรองไฟฟ้าต้องอยู่ในหลักคิดของความมั่นคงพลังงานและต้นทุนการผลิตที่สมดุล ไม่ใช่มองเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม
“บรรยากาศหารือในวันนี้ราบรื่นดี ลงลึกในหลายเรื่อง ทั้งทรัพยากร ต้นทุน ภาวะเศรษฐกิจโลก ต้องมาพูดคุยกันว่าภาคเอกชนต้องการอะไรบ้าง ที่เห็นชัดอีกเรื่องคือการทำเอฟทีเอกับยุโรปมีความล่าช้า ค่าไฟฟ้าที่มีต้นทุนแพง และการเพิ่มทักษะแรงงานในประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมไปต่อไปได้ อะไรที่ทำให้เกิดความเสี่ยง เศรษฐกิจสั่นคลอนต้องค่อยๆเดินหน้าทำความเข้าใจร่วมกัน เปิดทางโอกาสทางสอท.สอบถามในประเด็นที่เห็นว่ายังไม่ชัดเจน ใช้เวลากว่า 2 ชม."
นายพิธา กล่าวว่า หลังจากนี้ จะเดินสายไปพบกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น รวมถึงภาคราชการด้วย
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีได้มีการพูดคุยกับที่สำคัญยังมีนโยบายหลายเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจและแนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งปัญหา โดยได้จัดทำข้อเสนอการเพิ่มความสามารถในการในการแข่งขันเพื่อให้ภาคเอกชนไปต่อได้ ขณะที่อุตสาหกรรมดั้งเดิมจะมีการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ตลอดจนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะช่วยเหลืออย่างไรในช่วงเปราะบางเพื่อให้ประเทศมีการขับเคลื่อน ซึ่งจะมีเรื่องการปรับปรุงกฏหมายเพื่อส่งเสริม Ease Of Doing Business รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น
สิ่งที่เห็นตรงกันคือจากนี้ไปภาครัฐและเอกชนต้องทำงานร่วมกันใกล้ชิดในทุกมิติ เราจะมีคณะทำงานร่วมกัน เพื่อลงรายเซ็คเตอร์ ต้องการอะไร แก้ปัญหา กับส.อ.ท.โดยเฉพาะ
สำหรับประเด็นค่าแรงงาน เป็นความกังวลตั้งแต่แรกที่พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1และ 2 มีนโยบายขึ้นค่าแรง ทั้งพรรคก้าวไกลขึ้น 450 บาท ทุกปี ส่วนพรรคเพื่อไทยปรับ 600 บาทในระยะ 4 ปี ซึ่งต้องบอกก่อนว่าคุณพิธาเป็นสมาชิก ส.อ.ท. รู้ปัญหาทุกปัญหา อยู่ในฐานะเป็นผู้จ่ายค่าแรงงาน เพราะฉะนั้น หากปรับขึ้นในอัตราที่เสนอกันไว้อาจช็อค เป็นยาแรงเกินไป ซึ่งคุณพิธาแจ้งในที่ประชุมว่ายินดีรับฟังทุกคนและนำปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องคุยกัน ดังนั้นทุกภาคส่วนจะมีส่วมร่วมด้วยกันทุกคน