ไทย กำลังจะตกขบวนเศรษฐกิจดิจิทัลอีกครั้ง โอกาสของไทยหลังปี 2024 อยู่ตรงไหน

ไทย กำลังจะตกขบวนเศรษฐกิจดิจิทัลอีกครั้ง โอกาสของไทยหลังปี 2024 อยู่ตรงไหน
ไทยต้องมุ่งเน้นการเป็น Digital Economy Hub, Sustainability Hub และ Climate Tech Hub ซึ่งยุโรปกำลังจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ และไทยกำลังจะตกขบวนอีกครั้ง

ต้องบอกว่านาทีนี้โลกของเราหมุนไปไวมากและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นบนอัตราเร่ง โดยเฉพาะในปีนี้คาดว่าคงมีเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกที่ดูแล้วยากจะหลีกเลี่ยงในนาทีนี้

เมื่อเรารู้กันแล้วว่าวิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไรซะก็ต้องเกิดขึ้นและคงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน เราทุกคนก็ควรที่จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ให้พร้อม

ผ่านการศึกษาหาองค์ความรู้เพื่อให้ตัวเรามีความพร้อมในระดับสูงสุดเพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เมื่อสักวันพุธที่ 25 มกราคม 2023 ที่ผ่านมาแอดมินได้มีโอกาสไปนั่งฟังการสัมมนาดี ๆ ในงานเปิดตัวสำนักข่าวน้องใหม่อย่าง The Better สำนักข่าวด้านการเงินการลงทุนน้องใหม่ของไทย

ซึ่งในงานนี้ทางผู้จัดก็ได้เชิญดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย  (TDRI) และคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี มาบรรยายให้องค์ความรู้แก่ผู้ฟัง

ตลอดเวลาของการฟัง 1 ชั่วโมง แอดมินตระหนักได้ถึงเรื่องน่าวิตกกังวลที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและคนทำงานของประเทศเราเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนวิทยากรทั้ง 2 ท่านจะเห็นพ้องต้องกันว่าเศรษฐกิจของไทยดูเหมือนกำลังจะมีปัญหา

โดยทางดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย  (TDRI) เผยว่าจากการทำวิจัยตั้งแต่ปี 2018 แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจมีแต่จะตกลงเรื่อย ๆ จากที่ประเทศเคยโต 4-5% มาตลอด ตอนนี้เราเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่อง

และหลังจากการมาของ COVID-19 เศรษฐกิจของเราก็หยุดชะงักไปตรงนี้ยิ่งซ้ำเติมให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เปราะบางอยู่แล้วยิ่งลำบากขึ้นไปใหญ่ โดยในปี 2022 เศรษฐกิจก็ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้ (ในช่วงปี 2019)

โดยปัญหาเหล่านี้ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางภาครัฐและภาคเอกชนก็ได้เร่งมือในการวางโครงสร้างด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต่าง ๆ ให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ และวางประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางและขนส่งของภูมิภาค ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าที่รวดเร็ว

4 เรื่องสำคัญของประเทศไทยจากนี้

ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทาง ดร.นณริฏ มองว่า ถ้าไทยอยากโตในระดับเดิมเหมือน 20 ปีที่ผ่านมาก่อน COVID-19 เราต้องการนักท่องเที่ยวมากถึง 120 ล้านคนต่อปี เพราะก่อน COVID-19 เราโตจากราว 10 ล้านคนต่อปีไปสู่ 40 ล้านคนต่อปี แต่ปัญหาคือถ้าคนเยอะขนาดนี้ทรัพยากรธรรมชาติของเราเพียงพอรองรับไหม.

เพราะฉะนั้นการเพิ่มปริมาณอาจจะไม่ใช่คำตอบ นักท่องเที่ยวในแบบที่เราต้องการจากนี้อาจจะต้องเป็น “นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง” มากกว่า ขณะที่ในเรื่องที่สองนั้น ดร.นณริฏ มองว่าการยกระดับฐานะเกษตรกรของไทยให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับอาชีพอื่น ๆ กลายเป็นเรื่องสำคัญ

รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงมือถือได้แต่ไม่ใช่เพื่อช้อปปิ้ง แต่ภาครัฐต้องใช้ช่องทางตรงนี้ชี้ให้คนจำนวนมากเห็นถึงโอกาสในการเรียนรู้และโอกาสในการทำงาน ซึ่งมีผลต่อการสร้างรายได้ที่จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำของประเทศลงได้

นอกจากนี้ในเรื่องของสังคมสูงวัยปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากถึง 13.24 ล้านคน และในปี 2579 จะมีมากถึง 22.1 ล้านคน แต่ปัญหาที่พบในวันนี้คือการออมเงินกลับไม่สอดคล้องไปกับปริมาณผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือคนจำนวนมากจะต้องทำงานไปตลอดชีวิตนั่นเองเพราะไม่มีเงินเก็บ

ขยับมาดูทางฝั่งคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีกันบ้าง โดยคุณท็อปเพิ่งเดินทางกลับจาก World Economic Forum 2023 ที่ผ่านมา

แน่นอนว่าถ้าใครเป็นคนชอบติดตามเรื่องเศรษฐกิจสักหน่อยก็จะรู้ว่างาน World Economic Forum 2023 เป็นงานที่เหมือนเป็นตัวบอกทิศทางโลกจากนี้ว่าจะเดินไปทางไหน ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างก็อยากรู้ทิศทางของโลกจากนี้จากคุณท็อปไม่น้อย

โดยคุณท็อปบอกว่าทิศทางโลกในระยะสั้นจากนี้จะถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมกับมาตรการดูสภาพคล่องออกจากระบบ หรือ QT นอกจากนี้แรงกดดันจากเงินเฟ้อก็ยังคงสูงต่อไปและการจะเอาเงินเฟ้อลงมาอยู่ในระดับ 2-3% นั้นเป็นเรื่องยากลำบาก ตรงนี้ทำให้หลายประเทศทั่วโลกจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย

คำแนะนำในระยะสั้นให้ทุกคนเตรียมตัวคือ อย่าก่อหนี้ อย่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น และเก็บเงินสดให้เยอะที่สุด และหลังปี 2024 อาเซียนจะมีบทบาทต่อโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับการผลิตรถยนต์สันดาป โดยการพัฒนาของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้จำเป็นต้องดูในสิ่งที่เรามีและนำมาต่อยอดพัฒนาให้มีเอกลักษณ์ ไม่สามารถลอกเลียนแบบประเทศอื่นได้

แต่ในระยะยาวเราพึ่งพาแต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้ ไม่นั้นประเทศเราก็จะติดกับดักรายได้ปานกลางต่อไป การตัดสินใจของภาครัฐจากนี้ต้องเน้นนโยบายระยะยาวมากขึ้นและจำเป็นต้องมีความต่อเนื่องแม้จะมีการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลก็ตาม

ซึ่งถ้านโยบายเราถูกต้องเม็ดเงินที่ไหลมายังอาเซียนหลังปี 2024 ก็อาจทำให้ประเทศได้ประโยชน์มากขึ้น ขณะที่เส้นทางการพัฒนาของประเทศ ‘คุณท็อป’ มองว่าไทยต้องมุ่งเน้นการเป็น Digital Economy Hub (ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล) และ Sustainability Hub (ศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน) และ Climate Tech Hub (ศูนย์กลางธุรกิจเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศ) ซึ่งยุโรปกำลังจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ และไทยกำลังจะตกขบวนอีกครั้ง

สิ่งเหล่านี้คุณท็อปย้ำว่ามันจะกระทบทุกคนทุกอุตสาหกรรม ใครที่ปรับตัวได้โอกาสจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็จะมีมากกว่า หรือที่เราได้ยินบ่อย ๆ คือ Green Finance ซึ่งถ้าธุรกิจของคุณไม่ Net Zero ก็จะเจอปัญหาเข้าถึงแหล่งเงินทุนนี้ไม่ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์การเงินใหม่เกิดขึ้นมาซึ่งจะเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านี้

และปิดท้ายที่เทคโนโลยีสำคัญที่โลกทั้งใบจากนี้จะต้องให้ความสนใจก็คือ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เพราะมันอยู่ในจุดเดียวกับที่ iPhone เคยอยู่เมื่อ 16 ปีที่แล้วเป็นที่เรียบร้อย

เรียบเรียง : เอกพล มงคลพัฒนกุล

TAGS: #Economic #เศรษฐกิจ #ท็อปจิรายุส #เศรษฐกิจไทย