SHARGE หวังว่าที่รัฐบาลใหม่ขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า ปลดล็อก4 เงื่อนไข ทบทวนกฏหมายเปิดทางค่ายรถเพิ่มลงทุน EV
นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เปิดเผยว่า หลายพรรคการเมืองได้ชูวิสัยทัศน์เรื่องยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และนโยบายสนับสนุนการใช้ EV ผลักดันการเปลี่ยนรถขนส่งสาธารณะเป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus)
ขณะที่ MOU จัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองที่ประกาศออกมาล่าสุด ก็มุ่งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) สะท้อนให้เห็นว่า EV เป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นวาระสำคัญ ที่ต้องเร่งผลักดัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน
ทั้งนี้หากจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ EV ในประเทศ ว่าที่รัฐบาลใหม่ จะต้องออกนโยบายช่วยเอื้อให้เกิดอากาศดี มีรายได้ ค่าใช้จ่ายลด โดยสนับสนุนการลงทุนที่จูงใจให้ผู้ประกอบการใหม่อยากลงทุน และผู้ประกอบการเดิมหันมาใช้ EV โดยเสนอแนวทางนโยบาย 4 ข้อ ได้แก่ 1.ทยอยปลดล็อกเงื่อนไขยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตชิ้นส่วนและอะไหล่ให้กับบริษัทที่ผลิตรถ EV ภายในประเทศไทย เพิ่มจำนวนผู้ผลิตรถ EV ในตลาดให้มากขึ้น ลดความเสี่ยงในการผูกขาด กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศ ทั้งด้านการผลิต คุณภาพมาตรฐาน และราคายานยนต์
2.ปั้นบุคลากรด้าน EV ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในประเทศให้มีความเชี่ยวชาญด้าน EV ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตรถ ไปจนถึงการซ่อมบำรุง เพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา ง่ายต่อการเข้าถึงช่างผู้เชี่ยวชาญ ลดระยะเวลารอซ่อม แก้ไขเหตุขัดข้องได้ทันที พร้อมทั้งสร้างอาชีพ ช่วยให้กลุ่มช่างยนต์เดิม มีความรู้ความสามารถที่ทันสมัย มีรายได้ต่อเนื่องในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ EV
3.เปิดทางนโยบายลดต้นทุน กระตุ้นการเปลี่ยนผ่าน การลงทุนแรกเริ่มที่สูงทั้งค่ายานยนต์และอุปกรณ์ ทำให้ผู้ประกอบการ Commercial Fleets ยังไม่ตัดสินใจนำ EV เข้ามาใช้ในธุรกิจ การเปิดโอกาสให้ตลาดมีการแข่งขันหลายราย ผู้ให้บริการที่มีใบอนุญาตจะสามารถเข้าถึงรถบรรทุก-รถโดยสาร EV และ EV Infrastructure ที่มีประสิทธิภาพในต้นทุนที่เหมาะสมได้ อาทิ อุปกรณ์ชาร์จ EV หรือ EV Charger ที่มีกำลังไฟฟ้าสูงในราคาที่ถูกลง ดึงดูดให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนและพัฒนาเครือข่ายขนส่งสาธารณะ EV กันมากขึ้น
4.ปลดล็อกค่าไฟ EV ซึ่งปัจจุบันค่าไฟฟ้าสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบ Low Priority อัตราพิเศษหน่วยละ 2.63 บาท ที่จำกัดเฉพาะสถานีชาร์จ EV สาธารณะ ให้ขยายไปยังผู้ประกอบการ Commercial Fleets เช่น เพิ่มคุณสมบัติให้อู่แท็กซี่ EV ที่มีหัวชาร์จ EV จำนวน 10 จุดขึ้นไป สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งจะช่วยให้คนขับแท็กซี่มีรายได้เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายลดลงไปพร้อมกัน เนื่องจากต้นทุนพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1 บาทต่อกิโลเมตร ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 2 บาทต่อกิโลเมตร การปลดล็อกส่วนนี้จะจูงใจให้แท็กซี่ไทยหรือผู้ให้บริการรถโดยสาร ผู้ให้บริการ Last Mile Transportation เปลี่ยนผ่านสู่ EV
อย่างไรก็ตามการประกาศใช้นโยบาย 30@30 เป็นแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ด้วยการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือ รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาใช้รถ EV เกิดกระแสการตื่นรู้ด้านความยั่งยืนทางพลังงาน จนสร้างปรากฏการณ์ต่อคิวซื้อข้ามคืนและมียอดจองพุ่งหลายพันคันภายในวันเดียว
การจะเดินหน้าสร้างโมเมนตัมต่อไปได้ หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศ EV หรือ EV Ecosystem อาจต้องกลับมาทบทวนกฎระเบียบและการสนับสนุนในปัจจุบันให้เอื้อกับผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ EV ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 1.การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน พิจารณากฎหมายที่อาจจะปิดกั้น EV เข้าสู่ตลาด เช่น ข้อกำหนดเรื่องรถแท็กซี่ต้องมีเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรขึ้นไป ขณะที่รถ EV ในปัจจุบันไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้ไม่สามารถนำรถ EV มาเป็นแท็กซี่ได้
2.การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน (EV Infrastructure) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ EV และทำให้คนทุกกลุ่มเข้าถึง EV ได้ง่าย 3.การกระตุ้นให้เกิดผู้ใช้ EV ใหม่ อาจต้องพิจารณาสนับสนุนด้านภาษีหรือสิทธิประโยชน์ (Incentive) แก่ผู้ประกอบการ เช่น ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ที่นำรถ EV มาใช้เป็นครั้งแรก หรือมีอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษ และ 4.การสร้างประโยชน์ต่อประเทศ พิจารณาประโยชน์จากการใช้ EV อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ การแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต เป็นต้น
“การสนับสนุนกลุ่ม Commercial Fleets ทั้งในระบบขนส่งสาธารณะหรือโลจิสติกส์ จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ EV เข้าถึงคนไทยทุกกลุ่มได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ปัจจุบัน Commercial Fleets เป็นกลุ่มที่ยังมีสัดส่วนการใช้ EV น้อย ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านกฎหมายและด้านการลงทุนในระยะแรกเริ่ม”