ส.อ.ท.ชี้ต้องแก้ทุนใหญ่ผูกขาดราคาสาธารณูปโภค ลดการทุจริต ผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการ อย่าดึงค่าแรงเป็นเงื่อนไขการเมือง
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ตรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปัญหาค่าครองชีพของคนไทยที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมีต้นทุนแฝงมาจาก ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าWi-Fi รวมทั้ง ค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ
ทั้งนี้มีสาเหตุมาจาก 1.กลไกผูกขาด และ ภาครัฐ ถูกครอบงำโดยทุนใหญ่ผูกขาด ในระดับนโยบาย ,ระดับ Regulator และ ระดับ Operator รวมถึงระบบสัมปทาน ที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม การขาดกลไกตลาดเสรี โดยเฉพาะราคาค่าสาธารณูปโภค ที่คนไทยต้องจ่ายแพง เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
2.ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน คือ อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ของต้นทุนต่างๆที่ตามมาในค่าครองชีพ และค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งตัวเลขของงบประมาณภาครัฐที่สูญหายไประหว่างทาง ก่อนถึงมือประชาชน ในโครงการต่างๆ ด้วยเหตุผล “ของฟรีไม่มีในโลก”
อย่างไรก็ตามสาเหตุทั้ง 2 ข้อข้างต้น ล้วนยิ่งสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ ของประชาชนระหว่างคนรวยและคนจนตลอดมาของสังคมไทย ทางออกเรื่องการช่วยเหลือค่าครองชีพ ของประชาชน โดยภาครัฐ จึงควรเป็นวาระแห่งชาติในการแก้ปัญหา คือ 1.การแก้ปัญหาทุนผูกขาด 2. การแก้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่น
และ 3.การผลักดัน “นโยบายรัฐสวัสดิการ” เพื่อช่วยเหลือลดค่าครองชีพประชาชนที่ลำบากในแต่ละประเภท อย่างเหมาะสม เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค , รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย , Free internet โครงการธงฟ้า ราคาประหยัด ทั้งอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ เหล่านี้คือสิ่งที่ภาครัฐควรผลักดันอย่างเป็นระบบและทั่วถึง
“หากเราทำทั้ง 3 ข้อแล้วค่าครองชีพของประชาชนและแรงงาน ก็จะลดลง นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ก็จะไม่เป็นเครื่องมือในการหาเสียงของพรรคการเมือง อย่างที่เป็นมาในอดีต ซึ่งมีแต่จะทำลายเศรษฐกิจโดยเฉพาะ SMEs ด้วยการล้มหายตายจาก และ เลิกกิจการหรือ การลดจำนวนแรงงาน เพื่อลดภาระต้นทุนค่าแรง อย่างที่หลายภาคส่วนเป็นกังวล”
นายอิศเรศ กล่าวว่า ทั้งนี้ยังไม่รวมเงินไหลออกนอกประเทศ จากแรงงานต่างด้าว ที่ได้รับอานิสงส์ ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทย โดยส่วนตัวมองว่าภาคธุรกิจ ยินดีให้ความร่วมมือ ในการจ่ายค่าแรงด้วยนโยบาย Pay by skill และตาม Productivity นั่นหมายถึงภารกิจในการ Up-skill และ Re-skill ควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐและเอกชนควรทำร่วมกันเพื่อให้แรงงานของเรามีคุณภาพตอบโจทย์ธุรกิจและได้รับค่าแรงที่เหมาะสมและเป็นธรรม อีกทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ( Competitiveness) ก็จะดีขึ้นตามลำดับ