เจ้าของธุรกิจเตรียมรับมือตลาดแรงงานเปลี่ยน คัดคนให้ตรงสเปค ชี้สายดิจิทัลยังเป็นที่ต้องการ ยุค AI แต่ครองแชมป์ลาออกมากสุดเหตุงานไม่ตอบโจทย์
ตลาดแรงงานทั่วโลกในปีนี้ยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันและองค์กรรวมถึงเจ้าของธุรกิจหลายแห่งก็ยังคงต้องรับมือกับความท้าทายในการหาบุคลากรที่มีความสามารถและตรงสเปคมาร่วมทีมเพื่อพัฒนาองค์กรให้เติบโตไปด้วยกัน โดยเฉพาะสายงานยอดนิยมในช่วงหลังอย่างสายงานด้านดิจิทัล
นราพร อินทเชื้อ ผู้อำนวยการฝ่าย Work & Rewards ประจำประเทศไทยและอินโดไชน่า WTW ประเทศไทย หนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันด้านการบริหารคนและองค์กร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานขาดแคลนบุคลากรในสายงานดิจิทัล อันเป็นผลมาจากการที่องค์กรจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าสู่หรืออยู่ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ตลอดจนการเข้ามามีบทบาทที่มากขึ้นของ AI และระบบอัตโนมัติในการทำงาน
ทั้งนี้ผลสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของบุคลากรในสายงานด้าน AI และดิจิทัล (Artificial Intelligence and Digital Talent Compensation Survey) ของ WTW พบว่า บริษัทกว่า 97 % กำลังประสบปัญหาในการดึงบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลให้มาร่วมงาน และกว่า 96 % ประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม นายจ้างกลุ่มนี้ยังสามารถพลิกเกมได้ด้วยการริเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบค่าตอบแทนององค์กรให้ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดแรงงาน โดยนำข้อมูลด้านเงินเดือนและสวัสดิการในตลาดแรงงานจากฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้มาใช้เป็นตัวช่วยกำหนด
สำหรับภาพรวมการจ้างงานในปี 2566 พบว่า แนวโน้มอัตราการขึ้นเงินเดือนค่าเฉลี่ยของไทยนั้นอยู่ที่ 5% ส่วนอัตราการออกจากงานโดยสมัครใจคือ 10.9% และออกโดยไม่สมัครใจ 4.9%
ทั้งนี้ 28% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจมีแผนที่จะปรับเพิ่มจำนวนพนักงานภายในปี 2566 โดยมีตำแหน่งที่ต้องการหลักๆ ได้แก่ งานด้านการขาย งานวิศวกรรม งาน IT และช่างเทคนิค ซึ่งตำแหน่งงาน IT นั้นถือว่าติดอันดับต้นๆ มาแล้วถึง 3 ปีซ้อน
ส่วนงานที่มาแรงและได้ค่าตอบแทนสูงสุดคืองานในสาย Data Science และ Business Intelligence นอกจากนี้อาชีพด้านเทคโนโลยี และ Digital Marketing จะเป็นอาชีพที่ติดอันดับดาวรุ่งในปี 2566 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลอย่างมาก
ขณะที่ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้องค์กรต้องปรับตัวไปสู่รูปแบบดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ต่างมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกว่า 60% ระบุว่าความสามารถในการดึงดูดและรักษาบุคลากรด้านดิจิทัลคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรเปลี่ยนผ่านไปสู่ความดิจิทัลได้อย่างราบรื่นมากที่สุด ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นกว่าเมื่อปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 42% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ
“นายจ้างต้องลุกขึ้นมา "คิดใหม่ทำใหม่" ในการออกแบบแพ็คเกจค่าจ้างและสวัสดิการให้กับลูกจ้าง เนื่องจากปัจจุบันการรักษาพนักงานในตำแหน่งงานด้านดิจิทัลถือเป็นความท้าทายสูงสุดสำหรับองค์กรในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค องค์กรในไทยจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเสนอค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในตลาดสำหรับตำแหน่งงานสำคัญๆ เช่น Digital Marketing, Data Scientist และนักพัฒนาแอปพลิเคชัน”
สำหรับข้อมูลที่ WTW ได้รวบรวมมาจากบุคลากรใน 41 ตำแหน่งเฉพาะทาง จากทั้งหมด 8 กลุ่มงานที่เกี่ยวกับดิจิทัลในกว่า 200 บริษัทในประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานในตำแหน่งงานเฉพาะทางด้านดิจิทัลมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 20% ซึ่งประกอบไปด้วยตำแหน่งเช่น Cloud Computing Engineering, Machine Learning, Full Stack Development และ Technology Product Development – Prototypes and Trials เป็นต้น
นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่าอัตราการจ้างบุคลากรในตำแหน่งงานดิจิทัลในเมืองไทยเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วจาก 12,937 คนเป็น 16,891 คน หรือคิดเป็น 31% โดยผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบพร้อมใช้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมใหม่ จะมีแนวโน้มที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าคนที่จบใหม่ หรือไม่มีประสบการณ์ถึง 39%-42% (ในระดับปฏิบัติการ)
เมื่อพิจารณาอัตราเงินเดือนในสายงานดิจิทัล แม้จะเป็นตำแหน่งเดียวกัน ในต่างอุตสาหกรรม เงินเดือนก็อาจแตกต่างกัน เช่น Data Scientist ระดับ Manager ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และเกม (Tech, Media and Gaming) ได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปถึง 15-20%
ส่วนบทบาทการทำงานที่องค์กรต่างๆ ขาดแคลนและมองหามากที่สุดในวันนี้ ได้แก่ Blockchain, Agile Development & Team Collaboration และ Data Science and Business Intelligence โดยกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการจ้างงานตำแหน่งเกี่ยวกับดิจิทัลมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี สื่อ และเกม (Tech, Media and Gaming) สินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจค้าปลีก (Consumer Products and Retails) และประกันชีวิต (Life Insurance)
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าแปลกใจในข้อมูลที่พบ คือ อัตราการลาออก (Turnover Rate) ของคนทำงานด้านดิจิทัลกลับสวนทางกับดีมานด์อย่างสิ้นเชิง โดยถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งงานที่ครองแชมป์ลาออกมากที่สุด ด้วยอัตราการลาออกที่มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปถึง 9% หรือคิดเป็นเกือบ 20% โดยเฉพาะงานด้าน IT Developer, Digital Marketing และ Online Community Marketing ซึ่งเหตุผลโดยท้ายที่สุดนั้นก็เป็นเพราะองค์กรไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรได้นั่นเอง
ปัจจุบันสิ่งที่บุคลากรสายดิจิทัลมองหาไม่ได้มีแค่เรื่องของเม็ดเงินค่าตอบแทนที่ดีเท่านั้น แต่องค์กรยังต้องให้ความมั่นใจกับบุคลากรได้ด้วยว่างานที่ทำจะนำพาไปสู่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และพวกเขาจะมีโอกาสในการพัฒนาทักษะควบคู่ไปกับการทำงาน และรายล้อมไปด้วยคนที่เข้าใจและพร้อมปรับตัวสู่ Digital Transformation ไปด้วยกัน
กลุ่มงานสายดิจิทัลของบริษัทในประเทศไทยมักสูญเสียบุคลากรไปเนื่องจากการแข่งขันแย่งชิงตัวในตลาด โดยตำแหน่งงานที่มีพนักงานลาออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.Application Development (Internet/Web Application Development)2., Data Science และ Business Intelligence 3. IT Architecture (Systems Design)4. Digital Marketing, และ5. Agile / Scrum Master Project / Program Management ด้วยเหตุนี้ องค์กรและนายจ้างยุคปี 2566 จึงจำเป็นต้องตื่นตัวและคอยอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่กลุ่มบุคลากรสายดิจิทัลมองหาอยู่เสมอ จึงจะสามารถโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาทำงาน และอยู่กับองค์กรในระยะยาวได้
การที่องค์กรยื่นข้อเสนอและสวัสดิการที่ตรงใจและแตกต่างจากคู่แข่ง จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังแคนดิเดตว่าองค์กรนั้นตระหนักถึงศักยภาพของพวกเขาอย่างแท้จริงและไม่ได้ใช้สวัสดิการสูตรสำเร็จ หรือที่เรียกกันว่า One-size-fits-all กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ องค์กรต้องไม่ลืมที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง และใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งงานควบคู่กันไปด้วย