ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มสู่ เทคฯ คอมปะนี กางโรดแมป 5 ปี เป้ารายได้ แสนล้านบาท ด้วยภาระกิจ ‘Mission to the Sun’ มุ่งธุรกิจสายกรีน โลจิสติกส์-เทคโนโลยี-ดิจิทัล เฮลท์ เทคฯ
ย้อนกลับไปราวปี พ.ศ. 2546 ‘ดับบลิวเอชเอ กรู๊ป’ WHA Group ก่อตั้งขึ้นพร้อมดำเนินธุรกิจหลัก ด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และบริการด้านดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุด ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เตรียมเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรเทคโนโลยี (Technology Company) ในปี2567 พร้อมวางวางแผนธุรกิจใน 5ปี ด้วยงบลงทุนกว่า 6.85 หมื่นล้านบาท ภายใต้แผนปฏิบัติการ ‘Mission to the Sun’
จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขยายถึงภาระกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์บริษัท ภายใต้การวางงบลงทุน 5ปี (2566-2570) ราว 6.85 หมื่นล้านบาท สำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจ
ได้แก่ โลจิสติกส์ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท, ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท WHAUP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำนวน 4 พันล้านบาท
โดยภารกิจ ‘Mission to the Sun’ เป็นส่วนหนึ่งของแผนฯ ประกอบด้วย 9 โครงการ มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มีโครงการสำคัญ ได้แก่ Green Logistics, Digital Assets (Metaverse), Digital Health Tech, Circular เป็นต้น
5 กลยุทธ์รักษาความแกร่งธุรกิจในไทย-เวียดนาม
จรีพร กล่าวว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทฯ เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ มีการเซ็นสัญญาดีลใหญ่ๆ และโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ผลักดันให้บริษัทเติบโตก้าวกระโดด และรักษาสถานะทางการเงินได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป ในปี2566 ผ่าน 5 กลยุทธ์ธุรกิจ ดังนี้
1.รักษาความเป็นที่หนึ่งในประเทศด้วยการครองอันดับหนึ่งในทุกธุรกิจขององค์กร 2. เร่งการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเน้นที่ประเทศเวียดนาม 3.ใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
4.สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ โดยเน้นแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหลัก และ 5.นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาไปสู่องค์กรที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมุ่งสู่การเป็น Technology Company
จากกลยุทธ์ธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังกล่าวจะผลักดันให้องค์กรก้าวไปสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 และเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ตั้งเป้าขยายธุรกิจในประเทศไทย และ ในเวียดนาม มุ่งอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ส่วนในประเทศไทย วางเป้าหมายตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า และในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ทั้ง กรุงเทพฯ บางนา-ตราด และจังหวัดต่างๆ ในเขตพื้นที่อีอีซี
พร้อมตั้งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่เติบโตสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเฮลธ์แคร์ เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจ Office Solutions ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์มีโครงการอาคารสำนักงาน 6 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ มีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร และในปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะมีการส่งมอบโครงการใหม่และสัญญาใหม่ คิดเป็นพื้นที่รวม 200,000 ตารางเมตร (165,000 ตร.ม. ในประเทศไทยและ 35,000 ตร.ม. ในเวียดนาม)
โดยคาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะสูงถึง 2,900,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ยังได้ตั้งเป้าขายสินทรัพย์พื้นที่ 142,000 ตารางเมตรให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 3,250 ล้านบาท
สำหรับบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม มีพื้นที่ในครอบครองทั้งหมด 71,000 ไร่ มีพื้นที่พร้อมขายกว่า 4,000 ไร่ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทยจำนวน 12 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565
นอกจากนี้ ยังมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) คาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569
นอกจากนี้ ยังมีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (570 ไร่) และการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (400 ไร่)
รวมถึงการจัดหาก๊าซไนโตรเจนโดย บริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG WHA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี และจะขยายการให้บริการไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมไปถึงก๊าซอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ด้วย
ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทยจำนวน 11 แห่ง และให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์รับ-กระจายสัญญาณเครือข่าย 5G ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง โดยคาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้แก่ AWN, True และ Dtac
สำหรับประเทศเวียดนาม มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลัก ๆ ของเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง อันได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ มีกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างหลังจากนั้น
โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดขายที่ดินในปี 2566 ทั้งในประเทศไทย และเวียดนามจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดิน ไว้ที่ 1,750 ไร่
สู่ธุรกิจพล้งงานแห่งอนาคต-เทคโนโลยี
สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ในปี 2566 ปริมาณน้ำประปาและการจัดการน้ำเสียทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 168 ล้านลูกบาศก์เมตร โดย WHAUP มีโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทนเพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำ 2 โครงการ กำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE4) จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2566
ส่วน WHAUP ประเทศเวียดนาม ให้บริการ 3 โครงการ มีการเติบโตของการจัดการน้ำประปาและน้ำเสีย 26% เทียบกับปี 2565 หรือเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องมาจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่กว้างขึ้น และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566
นอกจากนี้ WHAUP ยังมุ่งนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
โดยในปี 2566 WHAUP ตั้งเป้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 847 เมกะวัตต์ เพิ่มจาก 683 เมกะวัตต์ในปี 2565 ประกอบด้วยพลังงานสิ้นเปลือง (Conventional Power) 547 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 133 เมกะวัตต์ และพลังงานจากขยะอุตสาหกรรม (Waste to Energy) อีก 3 เมกะวัตต์
โดย บริษัทฯ จะเร่งพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 300 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2566 นี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมกับ ปตท. และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading ในชื่อ Renewable Energy Exchange ("RENEX") ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม
ขณะที่ ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล ยังมุ่งการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร โดยจะทำงานร่วมกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit (โซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์) เวอร์ชันที่สองในไตรมาสที่ 2 ในปีนี้ 2566 พร้อมวางแผนเปิดตัว Meta W เมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรกที่ได้รับการออกแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ด้วย Digital Twin และในอนาคตมีแผนจะขยายผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ เพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบนิเวศของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ทั้งนี้จากกลยุทธ์ดังกล่าว ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คาดจะมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 30% โดยตั้งเป้ารายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 5 ปี อยู่ที่ 100,000 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไร EBITDA สูงกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD) ต่ำกว่า 1.2 เท่า