เร่งไทยทำตลาดรถ EV รับเทรนด์ทั่วโลก วางเป้าลุยส่งออก หลังรั้งอันดับ 4 ของเอเชีย

เร่งไทยทำตลาดรถ EV รับเทรนด์ทั่วโลก วางเป้าลุยส่งออก หลังรั้งอันดับ 4 ของเอเชีย
สนค.เกาะติดแนวโน้มรถ EV ทั่วโลก หลัง จีน สหภาพยุโรป สหรัฐ ผลักดันเต็มที่ หวังไทยเจาะตลาดส่งออกเพิ่มในเอเชีย เร่งโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาแรงงาน รองรับการเติบโต

นายพูนพงษ์  นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)  เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV)

ของประเทศสำคัญ พบว่า มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศต่างๆทั่วโลก หันมาสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น สอดคล้องกับความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ทุกประเทศตั้งเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก โดยการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการสนับสนุนกลไกต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแก้ปัญหาภาวะเรือนกระจก

ด้านจีนมีการกำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 5 ปี มีมาตรการต่างๆ อาทิ ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อุดหนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเงิน 2,300–3,200 เหรียญสหรัฐต่อคัน ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเพิ่มขึ้นมาก จาก 1.06 ล้านคัน ในปี 2562 เป็น  3 ล้านคัน

ในปี 2564 และในช่วงเดือนม.ค.–พ.ย. 2565 มียอดขายอยู่ที่ 4.73 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 19% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในจีน

สำหรับสหภาพยุโรป อยู่ระหว่างการผลักดันเรื่องการหยุดการจำหน่ายเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2578 เพื่อเร่งผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป และส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น และยังเตรียมออกร่างกฎหมายกำหนดจุดชาร์จไฟฟ้าในประเทศสมาชิก แต่กลุ่มผู้ผลิต เช่น ในเยอรมนี และอิตาลี เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีความท้าทายหลายประการ อาทิ แบตเตอรี่ยังมีคุณภาพและเสถียรภาพไม่สูงพอ และมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จรถไฟฟ้า และปัญหาความพร้อมด้านทักษะแรงงาน

ส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ช่วงปี 2559-2564 เพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตต่อปีที่ 61% สำหรับปี 2564 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 2.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นกว่า 65%

ขณะที่สหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมาย Inflation Reduction Act เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและการสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ลด-ละ-เลิก ใช้พลังงานฟอสซิล อาทิ การให้เครดิตภาษีให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ปรับธุรกิจมาใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานนิวเคลียร์ การให้เครดิตเงินคืนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และเงื่อนไขการจัดหาวัตถุดิบที่มีความเข้มงวด เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในสหรัฐฯ เกิดการปรับตัว ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ 9 เดือนแรกของปี 2565 มียอดขายอยู่ที่ 530,577 คัน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมียอดขาย 470,000 คัน

ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทย พบว่า มีแผนการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้นโยบาย “30@30” คือการตั้งเป้าหมายให้ไทยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 30% ภายในปี 2573 โดยรัฐบาลไทยได้มีการออกมาตรการสนับสนุนทั้งการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิตจาก 8% ลดเหลือ 1% และการอุดหนุนการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เกินคันละ 150,000 บาท โดยผู้ขอรับสิทธิต้องเป็นบุคคลตามประกาศกรมสรรพสามิตกำหนด

ส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของไทยในปี 2565 มีจำนวน 92,746 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 34.93% ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ปี 2565 จำนวน 72,158 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 86.58% และการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของไทยไปยังโลก  ในช่วงปี 2560–2565 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.33% ต่อปี โดยในปี 2565

ทั้งนี้ไทยส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 497.50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่นสัดส่วน 51.05% เวียดนามสัดส่วน 14.54% ฟิลิปปินส์สัดส่วน 9.17% เม็กซิโกสัดส่วน 9.03% และอินโดนีเซียสัดส่วน 6.63%

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไทยควรดำเนินการเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า คือจะต้องมุ่งส่งเสริมตลาดภายในประเทศ โดยการกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นของไทย โดยผู้ผลิตต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมาย กฎระเบียบ และติดตามมาตรการทางการค้าอย่างใกล้ชิด ตลอดจนต้องเข้าร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายกับผู้นำเข้า

นอกจากนี้ ต้องเร่งส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ การตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า สนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ส่งเสริมการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งต้องพัฒนาด้านแรงงาน และบุคลากรที่จำเป็นโดยสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อเข้าไปส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น รวมไปถึงอาจใช้ต้นแบบจากประเทศที่มีวิธีการปฏิบัติที่ดี

 

TAGS: #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #ข้อตกลงปารีส