กกพ.เกาะติดปัจจัยเสี่ยงกระทบค่าไฟฟ้า ทั้งราคาก๊าซฯขาลง อัตราแลกเปลี่ยน ภาระหนี้คืนกฟผ. หากต้องการลดถึง 70 สต. ทำได้ ต้องปรับสูตรราคาก๊าซฯใหม่ทั้งหมด
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร(เอฟที) รอบเดือนก.ย.-ธ.ค. 2566 มีโอกาศปรับลดลงได้อย่างน้อย 20 สต.ต่อหน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บอยู่ที่ 4.50 บาทต่อลิตร เนื่องจากก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักมีราคาปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 323.4 บาทต่อล้านบีทียู จากงวดก่อนหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 378.9 ล้านบีทียู
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาปัจจัยหลักอื่นๆที่จะส่งผลกระทบต่อค่าเอฟทีได้แก่อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันดิบ Brent และ Generation Mixed รวมถึงการคืนภาระหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามมติ กพช.
ตลอดจนปริมาณก๊าซในอ่าวไทย/ก๊าซในเมียนมา/การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) และ ความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ ตามสถานการณ์โลก ราคาถ่านหิน/น้ำมันเตา/น้ำมันดีเซล เป็นต้น
"ค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปีนี้จะลดลงกว่าเดิมนั้น ต้องดูปัจจัยทั้งอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งจะอยู่ระดับที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ ราคา LNG Spot ที่ 13.295 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ส่วนราคาถ่านหินนั้นปรัลสูงขึ้น ดังนั้น ตัวแปรสำคัญคือปริมาณก๊าซในอ่าวไทยโดยเฉพาะแหล่งเอราวัณที่กลุ่มปตท. ระบุว่าเดือนก.ค. 2566 จะมีกำลังผลิตที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต(ลบ.ฟุต)ต่อวัน จากปัจจุบันที่ระดับ 200 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน "
นายคมกฤช กล่าวว่า ขณะนี้ สำนักงานกกพ. อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอข้อมูลต่อคณะอนุกรรมการาพิจารณาค่าเอฟที ซึ่งคาดจะมีประชุมในช่วงต้นเดือนก.ค. 2566 ก่อนจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกกพ. เพื่อสรุปเป็นทางการอีกครั้งต่อสาธารณชนไม่เกินเดือนก.ค. 2566
อย่างไรก็ตามกรณีมีข้อเสนอจากพรรคการเมืองปรับลดค่าเอฟที 70 สต.ต่อหน่วย นั้นในทางปฏิบัติก็สามารถทำได้ โดยการเปลี่ยนสูตรราคาเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมดกำหนดให้ใช้ก๊าซฯในราคาเดียว โดยก่อนหน้าได้เสนอแนวทางนี้ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน พิจารณา แล้ว