'พาณิชย์'คงเป้าส่งออกปีนี้ 1-2 % หลังเดือนพ.ค.ติดลบลดลงกว่าที่คาด หวังปัจจัยบวกท่องเที่ยว เงินบาทอ่อน เศรษฐกิจโลกฟื้น 

นายกีรติ  รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศว่า การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่า 24,340.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (830,448 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 4.6 เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมโลกเร่งตัวขึ้นจากการผ่อนคลายปัญหาห่วงโซ่การผลิต แต่คำสั่งซื้อใหม่สำหรับการส่งออกไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น

การส่งออกของไทยหดตัวน้อยลงกว่าเดือนก่อนหน้า และทำมูลค่าสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของเดือนพฤษภาคม (21,658.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือน จากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ หม้อแปลงไฟฟ้าฯ ยานพาหนะและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ อาเซียน(5) และสหภาพยุโรป กลับมาขยายตัวอีกครั้ง

ทั้งนี้ส่งผลให้การส่งออกไทย 5 เดือนแรก หดตัวร้อยละ 5.1มีมูลค่า 116,344.2 ล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้า มีมูลค่า 122,709.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.5 ดุลการค้า 5 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 6,365.3 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 1.5 ในรอบ 8 เดือน ในกลุ่มสินค้า อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 8.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.2 อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 87.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน  หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 53.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 22.9

“กระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายส่งออกปีนี้ไว้  1-2% เพราะยังมีปัจจัยสนับสนุน จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ซึ่งการเดินทางจะส่งผลดีต่อการบริโภค ขณะที่ความต้องการสำรองอาหาร และราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ดีขึ้น  รวมถึงปัจจัยบวกจากเงินบาทที่อ่อนค่า และธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจล่าสุดมีแนวโน้มดีขึ้นหลายประเทศ เชื่อว่าครึ่งปีหลัง การส่งออกจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้”

ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ส่งออกในเดือนพ.ค.ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งหากในช่วง 7 เดือนที่เหลือไม่มีมาตรการอะไรเลย การส่งออกจะติดลบแน่นอน แต่หากสามารถผลักดันมูลค่าการส่งออกได้เดือนละ 24,400 ล้านเหรียญสหรัฐ จะขยายตัวได้ ซึ่งภาครัฐได้ทำงานกับเอกชนใกล้ชิด มีการกำหนดกลยุทธ์เจาะตลาดที่ชัดเจนใน 7 ภูมิภาคทั่วโลก ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากตลาดหลักไปยังตลาดอื่นๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลาง และสินค้าศักยภาพของไทย ทั้งอาหาร และผลไม้ จึงเชื่อว่าการส่งออกในปีนี้จะมีโอกาสขยายตัว