‘มาม่า’ กับแผนขยายตลาดในต่างประเทศ เพิ่มผลิตสินค้าโรงงานในฮังการี พร้อมเจาะตลาดแอฟริกา และหวนตลาดเวียดนามอีกครั้งในรอบ25ปี เป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ 40% ใน 2 ปี
พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนขยายการทำตลาดเชิงรุกผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยี่ห้อมาม่า และ ไทยเชฟ ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
โดยบริษัทเตรียมแผนเพิ่มทุน โดยจะลงทุนอีก 300-400 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัว ในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศฮังการี เพื่อรองรับโอกาสการขยายการทำตลาดในภูมิภาคยุโรปตะวันออก มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจเพื่อลงทุนตั้งโรงงานในฮังการีตั้งแต่ 10 ปีก่อน ซึ่งมี 2 ประเทศสำคัญในการทำตลาดยุโรป คือ ฟินแลนด์ และ เยอรมันนี ด้วยสัดส่วนยอดขาย กว่า 50% โดยมีสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อ และ ไทยเชฟ ในรสชาติยอดนิยม คือ รสไก่, รสต้มยำ และ รสหมูสับ
“ในช่วงที่ผ่านมา มาม่าเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในตลาดต่างประเทศ แถบยุโรปจากลุ่มคนไทยที่เข้าไปอยู่อาศัยในยุโรป ทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการในตลาดมากขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตในฮัวงการีเริ่มไม่พอรองรับในตลาดเดิม” พันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนทำตลาดเชิงรุกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ในประเทศแอฟริกา โดยอยู่ระหว่างหาพันธมิตรเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานผลิตสินค้า ด้วยมองเห็นโอกาสจากช่วงแพร่ระบาดโควิดเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทได้เริ่มนำสินค้า เข้าไปทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย (Distributor) และได้การตอบรับเป็นอย่างดี ในประเทศมาดากัสการ์ และ ซูรินาม ในอเมริกาใต้ ในรูปแบบลัง และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 5-6 เท่าตัว
“ประเทศแอฟริกามีเจ้าตลาดบะหมี่ฯอยู่ในตลาด ซึ่งเป็นผลดีที่ผู้ยริโภคในประเทศมีความคุ้นเคยและรู้จักสินดีอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทฯมองเห็นว่าเป็นโอกาสและมีช่องว่างในตลาดนี้” พันธ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนนำสินค้ามาม่า กลับเข้าไปทำตลาดในเวียดนามอีกครั้ง จากก่อนหน้าบริษัทได้เข้าไปทำตลาดสินค้าก่อนปิดโรงงานผลิตไปเมื่อปี 2541 หรือราว 25 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในฐานะผู้กระจายสินค้า
จากแผนดังกล่าว เพื่อปรับสัดส่วนรายได้สินค้าให้มีความสมดุลย์ (บาลานซ์ พอร์ท) ทั้งในและต่างประเทศ ให้อยู่ที่ 60% เป็นยอดขายในประเทศ และ 40% มาจากตลาดต่างประเทศ ด้วยปัจจุบันมีสัดส่วนในประเทศ 70-75 % และในต่างประเทศ 25-30 %
พันธ์ กล่าวว่าปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโตเชิงปริมาณอยู่ที่ 1% และในเชิงมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6-7% ขณะที่ตลาดในต่างประเทศยังไม่อิ่มตัวและมีโอกาสอีกมาก ปัจจุบันมาม่าครองส่วนแบ่งตลาดราว 50%
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ทางภาครัฐอนุมัตให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นราคาจำหน่ายได้ 1 บาทต่อซองไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นมาบ้าง มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น 7-8% จากก่อนนี้ที่อยู่แค่ 0.3%
จากแนวโน้มดังกล่าว คาดส่งผลให้ในปีนี้ บริษัทฯจะมีรายได้รวมเติบโต 5-6% จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวมประมาณ 27,000 กว่าล้านบาท ส่วนในแง่ปริมาณจะเติบโต 2% โดยมียอดขายจากสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้งในประเทศและส่งออก และรายได้จากธุรกิจขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ตรา “ฟาร์มเฮ้าส์”