ธปท. มองตั้งรัฐบาลใหม่ช้ากระทบความเชื่อมั่นมากกว่าการเบิกจ่ายล่าช้า หวังนโยบายรัฐบาลใหม่เร่งการลงทุนเอกชนมากกว่าออกมาตรการกระตุ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดี จากภาคการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นห่วงเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศจีนที่ชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ครึ่งปีแรกโต 2.9% และครึ่งปีหลังขยายตัวได้ 4% ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อไทยต่ำลงจากราคาพลังงานและอาหาร แต่เป็นเรื่องชั่วคราวแต่ในอนาคตจะกลับมาสูงขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ระดับ 2.00% มีความเหมาะสม แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบอยู่
“ธปท. ไม่ได้บอกว่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะอัตราเงินเฟ้อลดลงแล้ว ซึ่งยังต้้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ควรติดลบ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องการเมืองที่มีความไม่แน่นอนการตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ไม่กระทบเศรษฐกิจ เพราะ ธปท. ได้ประเมินผลกระทบการตั้งรัฐบาลล่าช้า ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณช้าออกไปประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส ซึ่งการตั้งรัฐบาลได้ช้ามีผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นมากกว่าเรื่องการเบิกจ่ายมากกว่า
“นโยบายของรัฐบาลใหม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นโยบายของรัฐบาลต้องมีเสถียรภาพด้านการเงินการคลัง มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องนโยบายของรัฐบาลใหม่ ต้องคำนึงเรื่องของหนี้ประเทศที่สูง 60% ของจีดีพี ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูงจำนวนสูง นอกจากนี้ ยังมีหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% จีดีพี ซึ่งเศรษฐกิจไทยที่ขาดตอนนี้เรื่องการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ
ผู้ว่า ธปท. กล่าวถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังสูงว่า แต่ยังไม่น่าเป็นห่วงหนี้เสียมากจนทำให่้เกิดปัญหากระทบเศรษฐกิจ และที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่่วมมือกับสถาบันการเงินออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนมาโดยตลอด และมีการติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดเวลา