ความคืบหน้าล่าสุดการทำตลาดเบียร์น้องใหม่ในพอร์ตเจ้าพ่อคาราบาว ‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ที่เตรียมเปิดตัวไตรมาส3 ปีนี้

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทคาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาพร้อมศึกษาการทำตลาดรอบด้านสำหรับผลิตภัณฑ์เบียร์ ซึ่งจะเป็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ตัวใหม่ล่าสุดของบริษัท คาดพร้อมเปิดตัวทำตลาดในไตรมาส 3 ปีนี้    

“ตอนนี้อยู่ระหว่างเก็บรีเสิร์ชด้านต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ได้มากที่สุดก่อนทำตลาด ด้วยที่ผ่านมามีเบียร์ต่างชาติรายใหญ่ที่เข้ามาทำตลาดแต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งเป็นแต้มต่อที่ทำให้มีโอกาส แต่ถ้าทำออกมาแล้วไม่ซัคเซสก็พังเลย ด้วยสินค้าเบียร์ไม่เหมือนกับเหล้า ที่ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่เบียร์มีความยากกว่า” เสถียร กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้ว่า คาราบาวกรุ๊ป จะยังไม่เคยทำสินค้ากลุ่มเบียร์มาก่อน แต่ถือว่ามีความคุ้นเคยในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ด้วยมีสินค้าประเภทสุรา ประเภทต่างๆในพอร์ต อาทิ บรั่นดีกาแลคซี สุราข้าวหอม เทนโดะ โซจูแทยัง ภายใต้ บริษัท ตะวันแดง 1999 จำกัด (บริษัทส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคาราบาวกรุ๊ป) และประสบการณ์ด้านคราฟต์เบียร์กว่า 10 รสชาติ ในโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง  

ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2566 เสถียร ได้ประกาศลงทุน 4,000 ล้านบาท เพื่อทำธุรกิจทำเบียร์ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะใช้ชื่อยี่ห้อใดในการทำตลาดเบียร์ใหม่ดังกล่าว ทั้งชื่อ “คาราบาวแดง” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู่จักในวงกว้าง หรือแบรนด์ “เยอรมันตะวันแดง” ซึ่งมาจากชื่อโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง

โดยในเบื้องต้น จะทำเบียร์ออกมา 2-3 รสชาติ เน้นตลาดบนเป็นหลักพร้อมทำตลาดผ่านช่องขายร้านค้าปลีก ในเครือธุรกิจทั้งร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ซีเจ ซึ่งในปี2566 จะมีครบ 1,100 สาขา และ ร้านถูกและดี ภายใต้กลุ่มบริษัททีดี ตะวันแดง ที่มีมากกว่า 5,000 สาขา ทั่วประเทศ

ขณะที่ปัจจุบันตลาดเบียร์ คาดมีมูลค่าราว 200,000 ล้านบาท มีผู้เล่นรายใหญ่  2 ราย กลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด (เบียร์สิงห์, ลีโอ ฯลฯ) และกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) (เบียร์ช้าง)

นอกจากนี้ เสถียร ยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดแม้พรรคก้าวไกล จะไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็เห็นว่านโยบายสุราก้าวหน้า ซึ่งจะมีส่วนร่วมผลักดันในการสร้างอาชีพให้กับประชาชนท้องถิ่นทั่วไปได้เช่นกัน ซึ่งไม่ว่าพรรคใดที่เข้ามาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ก็ควรให้ความสำคัญนโยบายนี้ต่อเนื่อง