ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ขยายธุรกิจอสังหาฯ จาก ออริจิ้น อีอีซี สู่การพัฒนาคอนโดทั่วประเทศ ครึ่งปีหลังลุยหาที่ดินใหม่หัวมืองใหญ่ ภูเก็ต-ชลบุรี-โคราช-ขอนแก่น เป้าสิ้นปี 66 พัฒนาโครงการทะลุ 1.3 หมื่นยูนิต
ภูมิพัฒน์ ฤทธิธาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทเปลี่ยนชื่อไหม่ คือ ออริจิ้น เนชั่นวายด์ (Origin Nationwide) ดัจากเดิม บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด พร้อมปรับทิศทางจากการเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่อีอีซี (เขตพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคตะวันออก) EEC สู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมทั่วประเทศ ยกเว้นเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการเติบโตตามโรดแมปของเครือออริจิ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด(Origin Infinity)
โดยเมื่อต้นปีนี้ที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยพัฒนาโครงการฯ นอกหรือพื้นที่ อีอีซี โดยนำร่องใน 2 ทำเลใหม่ในตลาดต่างจังหวัด คือโครงการ ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต และ ดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น ซึ่งได้การตอบรับที่ดี และขายหมดไปแล้วใน ทั้ง 2 โครงการ
“การเปลี่ยนชื่อเป็น ออริจิ้น เนชั่นวายด์ ยังเปรียบเสมือนการฉลองความสำเร็จของการเดินหน้าบุกพื้นที่หัวเมืองใหญ่ และยืนยันถึงความมั่นใจของบริษัทในการบุกพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป” ภูมิพัฒน์ กล่าว
สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่อีอีซี จำนวน 3 โครงการ และโครงการในหัวเมืองใหญ่อีก 2 โครงการ
โดยใช้แบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Y-Gen Z และกลุ่มผู้เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) เป็นแกนหลักทำตลาดิงรุก 5 โครงการ โดยมอบฟังก์ชันห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ให้แก่คนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ต่อยอดความสำเร็จ อีกทั้งสิ้น 6 โครงการในพื้นที่อีอีซี และ ต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ โซ ออริจิ้น (So Origin) ดิ ออริจิ้น (The Origin) และ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ไปในทำเล EEC และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ภูเก็ต ชลบุรี โคราช และ ขอนแก่น
พร้อมเจาะตลาดกลุ่มเจนเนอเรชัน X และ Y ในเซ็กเมนท์ Upper Class และ High Class นำจุดเด่นทั้งการออกแบบและการบริการที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์เข้าไปตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนในพื้นที่ คาดว่าจะทยอยเปิดเผยรายละเอียดของแต่ละโครงการได้เร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งให้ความสำคัญในการหาที่ดินศักยภาพแปลงใหม่ๆ ทั่วประเทศเพิ่มเติม เพื่อเตรียมรองรับการเติบโตตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกพื้นที่ในอนาคต โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าในสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดการพัฒนาโครงการสะสมนับตั้งแต่ก่อตั้งรวมทั้งสิ้นเป็น 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมจำนวนห้องชุด 13,000 ยูนิต