เปิดสูตร ‘ของกินอร่อยXช้อปปิงสนุก’ =กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเทื่ยวไทย หลังปิดฉากโควิดดันยอดนักเดินทางแตะ 80 ล้านคนใน 4 ปี
‘End Game’ ปิดฉากโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมาร่วม3 ปี พร้อมกับสัญญาณบวกการท่องเที่ยวทั่วโลกรวมทั้งไทย ได้ทยอยฟื้นตัวมาตั้งแต่ปลายปีก่อน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะหวนคืนกลับไทยในปี2566นี้ อยู่ที่ 25 ล้านคน
'วรวุฒิ อุ่นใจ' ผู้ก่อตั้ง officemate ผู้เชี่ยวชาญด้าน SME และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน)
ภาพดังกล่าว 'วรวุฒิ อุ่นใจ' ผู้ก่อตั้ง officemate ผู้เชี่ยวชาญด้าน SME และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ขยายความสำคัญการบริหารจัดการท่องเที่ยวของไทย ในยุคหลังโควิด-19 เพื่อเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางกลับมาไทย ด้วยอาการไข้คิดถึงกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Blue
ไทยแลนด์ ไอ มิส ยู
วรวุฒิ ขยายความอาการ ‘Bangkok Blue’ คือ ไวรัลที่เกิดขึ้นในโซเชียลของผู้คนฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี2565 เป็นต้นมา ภายหลังต่างชาติทยอยเปิดประเทศ มีนักท่องเที่ยวยุโรปเลือกเดินทางมายังเมืองไทย และเมื่อกลับไปแล้วเกือบทุกราย จะมีอาการโหยหาคิดถึงอาหารการกิน กิจกรรม การท่องเที่ยว วิถีชีวิตความเป็นไทย ฯลฯ
“สิ่งเหล่านี้ กระตุ้นให้ชาวต่างชาติ อยากกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง หรือโหยหามีความต้องการสินค้าบริการที่เคยสัมผัสในเมืองไทย” วรวุฒิ อธิบาย
จากจุดนี้ เห็นว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรเร่งวางนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) การท่องเที่ยวของไทย เพื่อเตรียมรับมือนักเดินทางจากทั่วโลกมาเยือนเมืองไทยได้ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านคนภายใน 4 ปีนับจากนี้
โดยให้ไปพร้อมกับการบริหารจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวของประเทศไทยใหม่ ดังนี้ 1.การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ สัดส่วน 40-50% 2.การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม สัดส่วน 30% และ 3. การท่องเที่ยวในสถานที่/แหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในสัดส่วนที่เหลือราว 20%
“แหล่งท่องเที่ยวแมนเมด จากนี้ไปจะมีบทบาทสำคัญต่อการเข้ามาสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเศรษฐกิจชุมชนรายย่อยต่อเนื่องไปถึงเศรษฐกิจระดับประเทศได้ ทที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนเมื่อไปถึงสถานที่ต่างๆเหล่านั้น” วรวุฒิ กล่าว
ไหว้ขอพรเสร็จแล้วไปช้อปปิงต่อ
นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสจากการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยผ่านการบริหารจัดการสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพทางจิตใจของผู้คน มาต่อยอดสู่การท่องเที่ยวสายมูเตลูได้อีกด้วย โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ทางศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
วรวุฒิ ยกตัวอย่าง ‘ศาลพระพรหมเอราวัณ’ ซึ่งตั้งบนทำเลแยกราชประสงค์ โดยในช่วงก่อนโควิดระบาด พบว่าเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวฮ่องกงเดินทางมาไหว้ขอพร และทำรายได้หมุนเวียนในจุดเดียว ไม่ต่ำกว่าหลายพันล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้หากนำการบริการจัดการการท่องเที่ยวสายมูฯ คาดจะกระตุ้นให้เกิด4 กิจกรรมหลักหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ คือ
- สักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ
- การท่องเที่ยวต่อเนื่องหลังสักการะขอพรฯ
- การหาของอร่อยในแต่ละท้องถิ่นรับประทาน
- จับจ่ายซื้อสินค้าของดีของเด่นประจำท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าควรเพิ่มอำนาจการจับจ่ายซื้อสินค้าชาวต่างชาติต่อหัวให้เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าลักซูรีในไทยได้เช่นเดียวกับ ในประเทศท่องเที่ยวแถบเอเชียอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ที่พบว่า นักท่องเที่ยวใช้จ่ายต่อหัวหลักหมื่นบาท สูงกว่า5 เท่าตัว เทียบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวในไทยอยู่ที่ 2,200 บาทต่อหัว
ต่อการจะเพิ่มการจับจ่ายในกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้นั้น เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวไทย จะต้องปรับปรุงโครงสร้างการท่องเที่ยวเชิงช้อปปิงทั้งระบบ อาทิ สินค้าปลอดภาษี (Duty Free) จากปัจจุบันสินค้าแบรนด์เนมที่จำหน่ายในประเทศไทยยังต้องเสียภาษีนำเข้าราว 30% ซึ่งทำให้เสียเปรียบทางการแข่งขัน
นอกจากนี้ ยังควรเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการรับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าของนักท่องเทื่ยว (Vat Refund) ในจุดต่างๆ เช่นเดียวกับในแหล่งท่องเทื่ยวต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นการเดินทางกลับมาซ้ำในครั้งต่อๆไปของนักเดินทางต่างชาติ
วรวุฒิ ปิดท้ายว่า “เศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยหลังโควิดจากนี้ไป จะต้องมีการบริหารจัดการทั้งระบบด้วยจุดเด่นซอฟต์เพาเวอร์ของเมืองไทย ด้านอาหารการกินที่อร่อย ศิลปวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และจะต้องมีการช้อปปิงที่สนุก ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มจีดีพีของประเทศไทยได้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งหากรวมอัตราการบริโภคในประเทศและการรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจะมีสัดส่วนจีดีพีท่องเทื่ยวรวมกันไม่ต่ำกว่า 10-20%”