พฤกษา มองตลาดอสังหาฯ 5 เดือนสุดท้ายปี66 มีเรื่องน่าห่วงจากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น หนี้ครัวเรือนไทยสูง ทำแบงก์จำกัดการปล่อยกู้รอบด้าน ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจรับรัฐบาลใหม่
อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงกระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทยใน 5 เดือนสุดท้ายปี2566 คาดยังเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) รวมถึงธนาคารกลางแฟ่งประเทศไทย (ธปท.)จะส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ย เป็นครั้งสุดท้ายมาก่อนหน้านี้
ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่มีสัดส่วนสูงถึง90% จะมีผลต่อต้นทุนภาพรวมทั้งกลุ่มผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ จากจำนวนขอสินเชื่อสูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีกำลังซื้อน้อยลงไปอีก ซึ่งยังรวมไปถึงการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจ
“พฤกษา ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาฯที่อยู่ในตลาดมมานานกว่า 30 ปี เห็นแนวโน้มการขึ้นลงทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง แต่มองว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ด้วยยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากหนี้สินต่อทุนที่ยังต่ำอยู่” อุเทน กล่าว
โดย บริษัทได้เร่งปรับการดำเนินธุรกิจรอบด้าน ทั้งแผนการขายโครงการฯทั้งแนวราบและแนวสูง การทบทวนงานวัสดุก่อสร้าง การขอใบอนุญาตก่อสร้าง การขอใบอนุญาตแนวที่ดินใหม่ ไปจนถึงการปรับรูปแบบบ้านให้มีราคาที่เหมาะสมสอดคล้องกับกำลังซื้อผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มโครงการอสังหาฯ
อุเทน กล่าวว่า บริษัทยังเตรียมแผนจัดซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า 15-16 แปลง เพื่อเตรียมความพร้อมพัฒนาโครงการฯใหม่ๆทั้งแนวราบและแนวสูง ที่จะเกิดขิ้นในอนาคต พร้อมเตรียมงบลงทุนเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท จัดซื้อที่ดินไปแล้วราว 7 แปลง โดยในอนาคตบริษัทฯ ยังวางแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 20% จากปัจจุบันมีสัดส่วนไม่ถึง 10%
6 เดือนแรก เฮลท์แคร์โตแรง
สำหรับ ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 พฤกษาฯ ทำรายได้รวม 7,107 ล้านบาท เติบโต 32% มาจากการเติบโตของยอดขายทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ ทำกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เติบโต 141% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 โดยในครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท รายได้รวม 13,665 ล้านบาท
โดยราว 700 ล้านบาทเป็นรายได้จากความสำเร็จในการสวอปหุ้นบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ที่เป็นบริษัทย่อยของ PSH เพื่อนำไปลงทุนในหุ้นของบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL ที่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสร้างรายได้และการเติบโตที่แข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทฯ
ขณะที่กำไรของครึ่งปีแรก ถ้าหักรายการพิเศษจากการสวอปหุ้นออก ธุรกิจหลักของกลุ่มก็ยังคงมีกำไรครึ่งปีแรกของปี 2566 เติบโตกว่า 10% จากปี 2565
โดยในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มียอดขาย 4,650 ล้านบาท เติบโต 4% จากไตรมาสก่อน มียอดโอน 5,650 ล้านบาท เติบโต 11% จากไตรมาส 2 ปี 2565 เป็นรายได้จากกลุ่มสินค้าแนวราบและการโอนคอนโดมิเนียม 6 โครงการต่อเนื่องมาจากช่วงต้นปี ในครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ 9,116 ล้านบาท ยอดโอน 11,680 ล้านบาท พร้อมเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 4,848 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการเปิดตัวโครงการ “แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา” ทำยอดขายได้มากกว่า 50% ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากคนไทยและต่างชาติ รวมถึงโครงการ “พลัมคอนโด นิวเวสต์” ย่านบางใหญ่ ทำยอดจองในวันพรีเซลที่ผ่านมาได้ถึง 580 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษาจึงได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2566 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่แข่งขันได้ในตลาด กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น วันที่ 28 ส.ค. 2566 จ่ายเงินปันผล วันที่ 8 ก.ย. 2566 และสำหรับในครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการรวม 17 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ตลอดทั้งปีเป็นไปตามแผนเพื่อการยกระดับสินค้ากลุ่มพรีเมียมขึ้นเป็น 30% ในช่วงครึ่งปีแรก
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ ในไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 440 ล้านบาท เติบโต 117% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 รายได้รวมในครึ่งปีแรก 852 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลวิมุตทำรายได้ที่ไม่รวมโควิดเติบโตขึ้น 77% และมีผู้ป่วยใหม่เข้ารับการรักษากว่า 26%
นอกจากนี้ ยังได้ขยายความร่วมมือกับ “นัลลูรี่” (Naluri) ผู้ให้บริการทางสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจผ่านทางแอพพลิเคชั่น พร้อมตั้งเป้ายกระดับให้ได้ตามมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ (HA) ในระดับ 3 ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อขยายไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นด้วย
จากแนวทางดังกล่าว เพื่อผลักดันให้บริษัทมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายในปี2566 แบ่งเป็นยอดขาย 24,000 ล้านบาท ยอดโอน 28,000 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการเปิดโครงการใหม่อยู่ที่ 23,500 ล้านบาท
ฝากรัฐบาลใหม่ ดูแลค่าพลังงาน
อุเทน กล่าวเสริมว่า “คณะรัฐมนตรีรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศในภาพรวมมองว่าโอเค หากได้คนระดับนี้เป็นรัฐมนตรีว่าการ(รมว.)คลัง เข้ามาบริหาร หรือ อย่างตัวคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งยังต้องตามนโยบายอื่นๆ ของพรรคที่วางไว้ต่อไป ด้วยครึ่งหลังปีนี้มีเรื่องน่าห่วงกระทบภาพรวมเศรษฐกิจ คือ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนไทย และดอกเบี้ย ทึ่ปรับสูงขึ้น”
พร้อมฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ ให้เข้ามาดูแลค่าพลังงานไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด ด้วยหากสามารถปรับลดลงมาได้ ก็จะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในภาพรวมหรือค่าครองชีพประชาชนทั่วไปลดลงตามไปด้วย เป็นการเพิ่มกำลังซื้อและลดรายจ่าย
แม้ว่านโยบายพรรคแกนนำรัฐบาลจะมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรง ก็เชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ ด้วยเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้ว รวมถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ก็มองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ