นักลงทุนลุ้นให้จบที่ “เศรษฐา” นั่งนายกฯ เดินหน้าเศรษฐกิจ

นักลงทุนลุ้นให้จบที่ “เศรษฐา” นั่งนายกฯ เดินหน้าเศรษฐกิจ
นักธุรกิจนักลงทุน ลุ้นให้จบโหวต “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งนายกฯ เดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่นแก้่ปัญหาปากท้่อง

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวันที่ 22 ส.ค.​ นี้ รัฐสภาจะมีการประชุมโหวตนายกฯ​ คนที่ 30 หลังจากยืดเยื้อมาแล้ว 2 เดือน นับจากการเลือกตั้งปลายเดือน พ.ค.​ที่ผ่าน

หากไม่มีอะไรพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 30 และคาดว่าจะได้รับเสียงจาก ส.ส.​ และ ส.ว.​ ถึง 375 เสียง ในการสนับสนุนเป็นนายกฯ​ แบบไร้ปัญหา

การโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกฯ​ จึงเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของเศรษฐกิจ เพราะหากนายเศรษฐา ได้รับการโหวตเป็นนายกฯ​ เศรษฐกิจก็จะเหมือนได้น้ำทิพย์ชะโลมใจขึ้นมาทันที

แต่หากนายเศรษฐา ตกสวรรค์​ไม่ได้เป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ เศรษฐกิจก็จะเหมือนตกเหวลึกลงไปด้วย

ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งปลายเดือน พ.ค.​ ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยซึมๆ มาตลอด เพราะรอรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ​ หลังจากที่การโหวตนายกฯ รอบแรก และรอบสอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เศรษฐกิจก็เสียความเชื่อมั่นไปมาก

แม้แต่ มีความชัดเจนเรื่องพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีความชัดเจนว่าจะเสนอ นายเศรษฐา เป็นนายกฯ​ หลายสัปดาด์ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยก็ไม่กระเตื้องขึ้น เห็นได้ชัดจากตลาดหุ้นไทย ที่ยังทรงๆ กลับลงๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะยังไม่มั่นใจการโหวตนายกฯ​ คนใหม่จะเป็นใครกันแน่ และการตั้งรัฐบาลใหม่จะเร็จหรือไม่

ดังนั้น หากการโหวตนายกฯ​ รอบนี้ นายเศรษฐา ไม่ได้เป็นนายกฯ​ นักวิเคราะห์หุ้นเชื่อว่า ตลาดหุ้นจะตอบสนองในทางลบอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประเมินว่า 1,500 จุด เอาไม่อยู่

ขณะที่เรื่องเศรษฐกิจมหภาค ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)​ ก็เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค.​2566 ก็ลดลงต่ำในรอบ 10 เดือน เป็นการปรับตัวที่ภาคส่วน ทั้งคำสั่งซื้อสินค้า ยอดขาย ปริมาณการผลิต ต้นทุนผู้ประกอบการสูง และผลประกอบการที่ลดลง จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ 

นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังเป็นห่วงหนี้ครัวเรือนสูง ค่าครองชีพแพง ทำให้กำลังซื้ออ่อนแอ ยิ่งการเมืองตั้งรัฐบาลล่าช้า ยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิิจให้อ่อนแอรุนแรงมากขึ้น

ดังนั้น ส.อ.ท.​ จึงเตรียมทำข้อเสนอถึงว่าที่รัฐบาลใหม่ทันที ทั้งการเร่งตั้งรัฐบาลออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการด่วน แก้ปัญหาปากท้องประชาชน และเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ออกมาตรการบรรเทาต้นทุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เร่งทำงบประมาณปี 2567 เพื่ออัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หลังจากที่คาดว่าล่าช้าไปกว่า 6 เดือน

สอดคล้องกับผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)​ ที่พบว่า ความเชื่อมั่นด้านการค้าปลีกลดลง และความเชื่อมั่นของธุรกิจโรงแรมก็ไม่ดี เพราะมีต้นทุนการเงินจากดอกเบี้ยปรับขึ้น และหมดมาตรการรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้การบริโภคสินค้าและการท่องเที่ยวแผ่วลง

ด้านนักวิชาการด้านเศรษฐกิจมองว่า การตั้งรัฐบาลช้ามากไปเท่าไรย่อมส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น โดยหากยังไม่ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานขับเคลื่อนแก้ปัญหาเศรษฐกิิจของประเทศภายในเดือน ก.ย.​นี้ เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างแน่นอน ทั้งความเชื่อมั่น และการไร้มาตรการต่างๆ ที่จะมาผลักดันเศรษฐกิจให้่ดีขึ้น

ดังนั้นการโหวตนายกฯ​ ในวันที่ 22 ส.ค. นี้ นักลงทุนนักธุรกิจ รวมถึงประชาชนหาเช้ากินค่ำ จึงอยากให้การโหวตนายกฯ​ จบที่ “เศรษฐา” เพื่อจะเป็นจุดเริ่มต้นมีรัฐบาลใหม่เสียที หากยังโหวตนายกไม่ได้เชื่อว่าเศรษฐกิจภาพรวม ตลาดหุ้น ความเชื่อมั่น จะดิ่งลงแรงจนไม่รู้หาทางฉุดกลับขึ้นมาให้มีความหวังออยากขึ้นเป็นทวีคูณสำหรับนายกฯ​ และรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำงานต่อไป

TAGS: #เศรษฐา #โหวตนายกฯ #เศรษฐกิจ #ตั้งรัฐบาล