ตลาดความงามโลกไปได้สวย ครึ่งแรกปี66 ‘ลอรีอัล กรุ๊ป’ โตยกพอร์ต ยอดขาย 2.057 หมื่นล.ยูโร  

ตลาดความงามโลกไปได้สวย  ครึ่งแรกปี66 ‘ลอรีอัล กรุ๊ป’  โตยกพอร์ต ยอดขาย 2.057 หมื่นล.ยูโร  
ลอรีอัล สวยด้วยแข็งแรงด้วย ครึ่งแรกปีนี้ทำได้ดีมียอดขาย 2.057 หมื่นล้านยูโร โตแกร่งยกพอร์ต สะท้อนตลาดความงามโลกยังสดใส

นิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า ผลดำเนินงาน ลอรีอัล ในช่วง6 เดือนแรกปี 2566 ทำยอดขายอยู่ที่ 2.057 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน จากตัวเลขดังกล่าว สะท้อนถึงสถานการณ์ตลาดความงามที่คึกคักกว่าเดิม

โดยผลงานของ ลอรีอัล ยังโดดเด่นในฐานะผู้นำระดับโลก จากการดำเนินธุรกิจที่เติบโตในวงกว้างทุกๆ แผนก ภูมิภาค กลุ่มผลิตภัณฑ์ และช่องทางการขาย เป็นไปตามกลยุทธ์มุ่งให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการที่เน้นความหลากหลายและสร้างสมดุล

นอกจากนี้ยังได้แรงขับเคลื่อน 2 จากปัจจัย คือ ปริมาณและมูลค่าด้านนวัตกรรมและความต้องการในผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล กรุ๊ป เพื่อให้วงจรการดำเนินงานที่ดีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน ลอรีอัล ยังได้เพิ่มการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา อย่างต่อเนื่องพร้อมปรับโฉมสู่การดำเนินงานที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งด้านผลประกอบการและความยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน

“เรายังคงตั้งเป้าสูงต่อไป มองแนวโน้มตลาดความงามสดใส เชื่อมั่นในความสามารถที่จะเติบโตเหนือตลาดต่อไป และทำให้ยอดขายและผลกำไรในปี 2566 เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก”  นิโคลา กล่าว

โดยผลการดำเนินงาน แบ่งตามแผนก ดังนี้

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 7.6%

การเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมขับเคลื่อนด้วยแบรนด์เคราสตาส (Kérastase) โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขจัดรังแคซิมไบโอส (Symbiose) รวมทั้งแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel) ที่ประสบความสำเร็จจากเมทัล ดีท็อกซ์ (Metal Detox)

แผนกนี้ยังทำผลงานได้ดีในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมด้วยเชดส์ อีคิว (Shades EQ) ไลน์ผลิตภัณฑ์ระดับตำนานโดยเรดเคน (Redken) และอินัว (Inoa) โดยลอรีอัล โปรเฟสชันแนล แผนกนี้ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการ “แฮร์สไตลิสต์เพื่ออนาคต” ซึ่งสนับสนุนช่างทำผมพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโต 15.0%

โดยแต่ละแบรนด์เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความคึกคักมากที่สุดด้วยแรงหนุนจากฟอล์สซี่ เซอร์เรียล มาสคาร่า (Falsies Surreal Mascara)  จาก เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) เทเลสโคปิค ลิฟต์ มาสคาร่า (Telescopic Lift Mascara) จาก ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris)

ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้อานิสงส์จากกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก โดยเฉพาะการเปิดตัวเอลวีฟ บอนด์ รีแพร์ (Elvive Bond Repair) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนกลุ่มสกินแคร์ก็เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักจากรีไวทัลลิฟต์ คลินิคัล วิตามิน ซี เอสพีเอฟ50+ (Revitalift Clinical Vitamin C SPF50+) ฟลูอิด ผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอรีอัล ปารีส และเอเอชเอ บีเอชเอ (AHA BHA) ไลน์ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวตัวใหม่ของการ์นิเยร์ (Garnier)

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 7.6%

กลุ่มน้ำหอมเติบโตแซงหน้าตลาด เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นจากแบรนด์ระดับกูตูร์ เช่น อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent), พราด้า (Prada) และวาเลนติโน (Valentino)

ส่วนในกลุ่มสกินแคร์นั้น แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นของแบรนด์เฮเลนา รูบินสไตน์ (Helena Rubinstein) และการฟื้นตัวของแบรนด์ลังโคม (Lancôme) ในอเมริกาเหนือ ผนวกกับความสำเร็จของทาคามิ (Takami) ในญี่ปุ่น และล่าสุดในจีน

กลุ่มเครื่องสำอางก็เติบโตด้วยเช่นกันจากความสำเร็จของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์(Yves Saint Laurent) และผลการดำเนินงานที่น่าพอใจจากแบรนด์ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเออร์เบิน ดีเคย์ (Urban Decay) และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ส่วนแบรนด์เอสอป (Aēsop) จะได้รวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 29.0%

ทั้งนี้ ได้รับแรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของแผนก ประกอบกับการเดินหน้าในการทำงานกับแพทย์และเภสัชกร โดยทุกแบรนด์เติบโตสองหลัก ทั้งลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผลักดันการเติบโตเบอร์หนึ่งของแผนกก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ไว้ได้ จากผลิตภัณฑ์เอฟฟาคลาร์ (Effaclar), ซิคาพลาส (Cicaplast) และยูวีมูน 400 (UVmune 400)

ส่วนเซราวี (CeraVe) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความคึกคักมากในอเมริกาเหนือ และเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก วิชี่ (Vichy) ได้จากความสำเร็จของเดอร์คอส (Dercos) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ส่วนผลิตภัณฑ์สกินซูติคัลส์ (SkinCeuticals) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (SkinBetter Science) ที่เพิ่งซื้อกิจการมานั้น ก็เริ่มต้นได้อย่างมีศักยภาพ

สรุปผลการดำเนินงานของภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) เติบโตขึ้น 23.6%1

ภูมิภาค SAPMENA ยังคงเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่าอย่างโดดเด่นในระดับตัวเลขสองหลักในทุก ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกแผนก กลุ่มสกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ จากการเติบโตของแบรนด์เซราวี และการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดของลา โรช-โพเซย์ เครื่องสำอางเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดจากการฟื้นตัวของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมก็ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในวงกว้างอีกครั้ง

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลอรีอัลสามารถทำยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตโดดเด่นในประเทศไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในเวียดนามก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ในขณะที่กลุ่มกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับมีการเติบโตที่ดีเยี่ยมในช่วงวันหยุดทางศาสนา และทุกประเทศในแอฟริกาใต้ซาฮารามีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก

เหตุการณ์สำคัญด้านนวัตกรรมและ ESG ของลอรีอัลเมื่อเร็ว ๆ นี้

การวิจัย, บิวตี้ เทค และดิจิทัล

ลอรีอัล กรุ๊ปได้เปิดตัวโครงการริเริ่มด้านไบโอเทคที่สำคัญ ๆ หลายโครงการ โดยกองทุนบีโอแอลดี (BOLD) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมทุนของลอรีอัลได้ลงทุนในบริษัทเดบูท์ (Debut) บริษัทไบโอเทคของสหรัฐเพื่อร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความยั่งยืนมากขึ้นกว่า 7,000 รายการ โครงการพัฒนาร่วมกันระหว่างลอรีอัล และเดบูท์มีเป้าหมายเพื่อเร่งระยะเวลาในการเปิดตัวสินค้าสู่ตลาด

นอกจากนี้ ลอรีอัลยังได้ประกาศการเป็นพันธมิตรกับบาการ์ แล็บส์ (Bakar Labs) โครงการบ่มเพาะด้านไบโอเทคระดับบุกเบิกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ทำให้สตาร์ทอัพของบาการ์ แล็บส์มีช่องทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงโมเดลผิวพรรณที่สร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบ 3 มิติของลอรีอัล ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านนวัตกรรมสำหรับการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ปราศจากการทดสอบกับสัตว์

ในงานวีว่า เทคโนโลยี 2566 (Viva Technology 2023) ลอรีอัล กรุ๊ปเปิดตัวนวัตกรรมบิวตี้ เทคใหม่ล่าสุด ได้แก่ โซลูชั่นเพื่อรองรับความหลากหลายทุกรูปแบบ เช่น แฮปตา (HAPTA) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวมือสามารถแต่งหน้าได้ เครื่องมือสำหรับวินิจฉัย ได้แก่

สปอตสแกน (SPOTSCAN), เมตา โปรไฟเลอร์ (META PROFILER™), เค-สแกน K-SCAN) โซลูชั่นเพื่อการสร้างสรรค์ความงามเฉพาะบุคคล ได้แก่ ทรีดี ชู:บราว (3D shu:brow) และโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน เช่น วอเตอร์ เซฟเวอร์ (WATER SAVER) ของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งช่วยประหยัดการใช้น้ำไปมากกว่า 66 ล้านลิตรแล้วจนถึงปัจจุบัน

ลอรีอัล และเวริลี (Verily) บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพแบบพุ่งเป้าในเครืออัลฟาเบท (Alphabet) ประกาศการเปิดตัวมาย สกิน แอนด์ แฮร์ เจอร์นีย์ (My Skin & Hair Journey) ซึ่งเป็นโครงการศึกษาสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมระยะเวลาหลายปีที่มีความหลากหลายที่สุด และครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยการศึกษาซึ่งมีผู้หญิงในสหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมนับพันคนนี้ จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจปัจจัยทางชีวภาพ, คลินิก และสิ่งแวดล้อมซึ่งมีส่วนสนับสนุนสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมได้ดีขึ้น

ในการประชุมแพทย์ผิวหนังโลก (World Congress of Dermatology - WCD) ที่สิงคโปร์ ลอรีอัลเปิดเผยรายงานวิจัยชิ้นใหม่ว่าด้วยภาวะผิดปกติของเม็ดสีผิว และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีต่อผิวและหนังศีรษะของผู้หญิง

ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

ลอรีอัลได้รับการรับรองจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส โกลบอล สำหรับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยได้คะแนนด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) 85 คะแนนจาก 100 คะแนน ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนโฉมที่ยั่งยืนของลอรีอัลไปสู่รูปแบบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และตอบรับความหลากหลายมากขึ้นด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน

ในงานมอบรางวัลนานาชาติเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 25 ของลอรีอัล-ยูเนสโก นักวิทยาศาสตร์หญิง 5 คนได้รับการยกย่องสำหรับผลงานที่โดดเด่น และมีการมอบเหรียญเกียรติยศ รวมทั้งทุนให้แก่นักวิจัย 3 คนที่ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องหลบหนีออกจากประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่มีต่อวิทยาศาสตร์อย่างน่ายกย่อง

เนื่องในวันคุ้มครองโลก ลอรีอัลได้ประกาศ 3 โครงการใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ (Fund For Nature Regeneration) ของบริษัท ได้แก่ โครงการเน็ทซีโร่ (NetZero), รีฟอเรสเทอร์รา (ReforesTerra) และแมงโกรฟส์ (Mangroves)

โครงการเหล่านี้ได้รับคัดเลือกเนื่องจากวิธีการที่เป็นนวัตกรรมในการกักเก็บคาร์บอนในดิน, การปลูกป่า และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมทั้งศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น

ลอรีอัลได้รับการจัดอันดับจากฟาสต์ คอมพานี (Fast Company) ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด100 อันดับแรกสำหรับนวัตกร ประจำปี 2566 ซึ่งยกย่ององค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมในทุกระดับ

TAGS: #ลอรีอัล #ตลาดความงาม #ESG