เทงบ 5 แสนล้าน แจกเงินดิจิทัล 50 ล้านคน เดิมพันสูงวัดฝีมือนายกป้ายแดง “เศรษฐา ทวีสิน” เสี่ยงสอบไม่ผ่านแก้เศรษฐกิจประเทศ
มาตรการแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ให้กับคนไทยทั่วหน้า 50 ล้านคน เป็นงบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท ถือเป็นด่านหินด่านแรกของของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ว่าจะใช้นโยบายนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยเป็นการเร่งด่วนเฉพาะหน้าได้จริงหรือไม่
นายเศรษฐา กล่าวยืนยันไว้ในคลิปชี้แจงเรื่องปมซื้อที่ดิน และได้พูดถึงเรื่องการแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ของพรรคเพื่อไทย ว่า เป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์มีประโยชน์กับประเทศชาติอย่างมาก สามาช่วยเหลือประชาชนมากถึง 50 ล้านคน ทั้งผู้ผลิตและการจ้างงาน ทั้งการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน
นอกจากนี้ ยังย้ำว่า การแจกเงินดิจิทัลวอลเลตคนละ 1 หมื่นบาท เป็นนโยบายสำคัญที่สุดอันดับหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ทำให้กู้เศรษฐกิจพลิกกลับมาได้อีกครั้ง และงบประมาณจะถูกตรงไปทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
นั้นคือ คำชี่้แจงของนายกเศรษฐา ซึ่งได้กล่าวย้ำลักษณะเดียวกันในหลายเวทีที่หาเสียงตลอดช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทย ได้ให้รายละเอียดเงื่อนไขของการแจกเงินดิจิทัลไว้ว่า
1 คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้ ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet)
2 กระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน สำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขโดยเฉพาะ ยาเสพติดและการพนัน และไม่สามารถซื้อของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้
3 เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้ เฉพาะกับร้านค้าชุมชนและบริการที่ “อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร” เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน ส่วนในพื้นที่ห่างไกลจะมีการพิจารณาเป็นกรณีด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน
4 ร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารในโครงการในภายหลัง
5 เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล ในระยะยาวเพื่อนำประเทศเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางของ FinTech
6 กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ไม่ใช่คริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้น เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการถูกทุบ ไม่มีการขาดทุน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาตก-ราคาขึ้น เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ รับประกันโดยรัฐบาล
7 กระเป๋าเงินดิจิทัล ใช้ระบบ Blockchain มีความปลอดภัยสูงสุด สูงกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รู้เส้นทางการเงินทุกธุรกรรม รู้ผู้รับ รู้ผู้จ่าย เป็นระบบที่มีความโปร่งใสสูงสุด ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม
8 ทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้จ่ายไปจะหมุนเวียนเข้ามาเป็นภาษีของรัฐบาลเพื่อเอา เงินไปสนุบสนุนประชาชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
จากเงื่อนไขดังกล่าว พบว่า การแจกเงินดิจิทัลยังมีปัญหาข้อจำกัดปฏิบัติมาก ทั้งต้องใช้ในพื้นที่ตามบัตรประชาชน ซึ่งคนจำนวนมากไม่ได้อยู่ตามพื้นที่ในบัตรประชาชน การใช้เงินได้แต่ร้านค้าชุมชน ซึ่งอาจเป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ รวมถึงการใช้จ่ายใน 6 เดือน นับตั้งแต่เริ่มโครงการ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าโครงการเร่งด่วนภายในปีนี้จะเริ่มได้หรือไม่
นอกจากนี้ นักนักวิชาการด้านเศรษฐกิจฟันธงว่าไม่ว่าจะแจกรูปแบบไหน สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเป็นการแจกเงินเหมือนสมัย รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บรรเทาผลกระทบโควิด 19 โดยการแจกเงินคนละ 5 พันบาท 3 เดือน และออกมาตรการคนละครึ่งแจกเงินอีกหลายรอบใช้เงินรวมๆ กันไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท เช่นกัน
การแจกเงินจำนวนมากดังกล่าว นักวิชาการยอมรับว่า มีผลกับเศรษฐกิจระยะสั้นแน่นอน แต่เป็นผลดีแค่ชั่วคราว ซึ่งอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะต้องใช้เงินภาษีถึง 5 แสนล้านบาท เป็นภาระการคลังก้อนใหญ่ของประเทศ กระทบกับเครดิตของประเทศได้ในอนาคต ยังไม่รวมถึงเป็นการเร่งอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น บานปลายไปถึงนโยบายดอกเบี้ยแพงขึ้นไปอีก
ดังนั้น มาตรการแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท จึงเป็นบททดสอบฝีมือนายเศรษฐา รัฐมนตรีป้ายแดงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ว่าจะคลอดมาตรการนี้ได้หรือไม่ เพราะหลายคนใกล้ตัวเศรษฐาเองไม่เห็นด้วยจนไม่ยอมมาเป็นรัฐมนตรีคลัง เพราะไม่ต้องการเอาชื่อเสียง มาเสี่ยงกับนโยบายที่ดูแล้วโอกาสล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ จนนายเศรษฐาอาจจะต้องนั่งควบรัฐมนตรีคลัง เพื่อรับผิดรับชอบของมาตรการนี้ไปคนเดียวเต็มๆ คนเดียว
อย่างไรก็ตาม หากมาตรการแจกเงินดิจิทัล ทำได้จริง ได้ผลดี ย่อมเสริมบารมีความน่าเชื่อถือการบริหารเศรษฐกิจให้กับนายกเศรษฐาไม่ใช่น้อย
ในทางตรงข้ามหากมาตรการนี้ทำได้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ผล เป็นภาระการคลัง มีการรั่วไหล ก็จะทำให้ภาพของนายเศรษฐา เสี่ยงสอบตกการบริหารเศรษฐกิจตั้งแต่ยกแรกทันที