สนค.เผยส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ทั้งกลุ่มสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม เหตุเศรษฐกิจคู่ค้ายังไม่ฟื้นตัว ดอกเบี้ยขาขึ้น กดการใช้จ่ายลดลง คาดครึ่งหลังยังมีโอกาสดีขึ้น คงเป้าปีนี้ไว้ 1-2%
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง ภาวะการค้าระหว่างประเทศ–การค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนกรกฎาคม 2566 และ 7 เดือนแรกของปี 2566 ว่าการส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 มีมูลค่า 22,143.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (764,444 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 6.2 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยมีปัจจัยจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกลดต่ำลงมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องชะลอลงอย่างมาก
รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายภูมิภาค และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว อีกทั้ง จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกฟื้นตัวช้าลงจากกำลังซื้อในประเทศที่หดตัวจากการขาดความเชื่อมั่นทางธุรกิจ
อย่างไรก็ดีจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านอาหารของโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอาหารเติบโตได้ดี โดยเฉพาะข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง และสุกรสด แช่เย็น แช่แข็ง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมของไทยมีสัญญาณที่ดีจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางรถยนต์ และเครื่องจักรกล เป็นต้น ทั้งนี้ การส่งออกไทย 7 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.5 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.3
ด้านการนำเข้า มีมูลค่า 24,121.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 11.1 ดุลการค้า ขาดดุล 1,977.8 ล้านเหรียญสหรัฐส่งผลให้ภาพรวม 7 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออก มีมูลค่า 163,313.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.5 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 171,598.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.7 ดุลการค้า 7 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 8,285.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 9.6 (YoY)ต่อเนื่อง 3 เดือน โดยสินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 7.7 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 11.8 แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 5.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน ข้าว ขยายตัวร้อยละ 18.8 กลับมาขยายตัว หลังจากหดตัว เมื่อเดือนก่อนหน้า
สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 17.8 กลับมาขยายตัว หลังจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า ผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 17.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน นมและผลิตภัณฑ์นม ขยายตัวร้อยละ 27.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน ไข่ไก่สด ขยายตัวร้อยละ 92.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ยางพารา หดตัวร้อยละ 37.8 หดตัวต่อเนื่อง 12 เดือน อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 12.9 หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 30.3 หดตัวในรอบ 3 เดือน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 7.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน ไก่แปรรูป หดตัวร้อยละ 11.4 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน เป็นต้น
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 3.4 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 24.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 40.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 82.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 29.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 21 เดือน รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน
อย่างไรก็ตามภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดสำคัญยังมีความไม่แน่นอน โดยยังคงได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก แม้ว่าการส่งออกไปตลาดหลัก อาทิ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และยุโรปจะหดตัว แต่การส่งออกไปตลาดรองส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดี
นายกีรติ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าเชิงรุกเพื่อผลักดันการส่งออก ได้แก่1.กิจกรรมการนำคณะผู้แทนการค้าเยือนภูมิภาคลาตินอเมริกา ประเทศอาร์เจนตินา ชิลี และบราซิล เพื่อขยายตลาดส่งออกตามกลยุทธ์ในการบุกเจาะตลาดเป็นรายภูมิภาค และรายคลัสเตอร์ 2.เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง โดยมีการตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ของเอลนิโญ และประเมินผลกระทบทั่วโลกที่จะกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรของไทย โดยเฉพาะกรณีที่อินเดียประกาศมาตรการห้ามส่งออกข้าวขาว เพื่อประเมินสถานการณ์และสร้างความมั่นใจว่า อาหารไทยเพียงพอบริโภคในประเทศและเหลือเพียงพอสำหรับการส่งออก
3.คณะผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์เดินทางเยือนลาว โดยได้เข้าพบผู้บริหารโครงการท่าบก ท่านาแล้ง หารือการเชื่อมโยงใช้ประโยชน์เส้นทางรถไฟ พร้อมทั้งผลักดันการใช้สิทธิ FTA เพื่อการส่งออก รวมทั้งหารือกับภาคเอกชนไทยถึงโอกาสการขยายการค้า โดยเฉพาะผลไม้ไทยและธุรกิจกาแฟที่ลาว ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกใหญ่เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว การผลิตและการบริโภคชะลอลง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และความผันผวนของค่าเงิน แต่คาดว่าฐานที่ต่ำในช่วงปลายปี ภาคบริการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัว และอานิสงส์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน ทำให้คู่ค้าหันมานำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางตัวจากไทยทดแทนตลาดจีนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน การส่งออกสินค้าในหมวดอาหารที่เป็นสินค้าจำเป็น มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยหลายประเทศเพิ่มการนำเข้าเพื่อรักษาความมั่นคงทางด้านอาหาร และการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเส้นทางใหม่ผ่าน รถไฟไทย-ลาว-จีน จะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ได้อีกทางหนึ่งด้วย
“ภาพรวมการส่งออกแม้จะยังติดลบแต่ถ้ามองที่มูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐก็ไม่ใช่ตัวเลขที่แย่เกินไป เนื่องจากยังมีกลุ่มสินค้าบางรายการที่เป็นบวกอยู่ และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็ยังดีกว่า ประกอบกับเมื่อมีรัฐบาลใหม่จะมีมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของปีได้”