เปิดดูถังเงินประเทศมีเหลือให้ “เศรษฐา” ช้อปแค่ไหน

เปิดดูถังเงินประเทศมีเหลือให้ “เศรษฐา” ช้อปแค่ไหน
มาดูถังเงินประเทศแข็งแรงมีมากขขนาดไหน ที่จะให้ “เศรษฐา” ช้อปทำนโยบายเศรษฐกิจลดแลกแจกแถม ที่สัญญาไว้กับประชาชนต้องหาเสียง

ตอนนี้คาดว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะนั่งควบตำแหน่ง รมว.คลัง อีกตำแหน่ง เพื่อรวมอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ในมือให้มากที่สุด ในการพลักดันนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยให้เกิดขึ้นเป็นจริงตามที่สัญญาไว้

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา ต้องใช้เงินภาษีของประเทศจำนวนมากดำเนินการ ทั้ง การแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ต้องใช้เงินประมาณ 5 แสนล้านบาท การลดค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ทันที คาดว่าต้องใช้เงินอีกนับหมื่นนับแสนล้านบาท

ยังไม่รวมกับนโยบายเศรษฐกิจขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อวัน การให้เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ลดค่าตั๋วรถไฟฟ้า 20 บาทตลออสาย เชื่อว่าต้องใช้เงินงบประมาณอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกนับหมื่นล้านหรือแสนล้านบาทเช่นกัน ขึ้นอยู่ว่าจะทำจริงทำนานแต่ไหน

ดังนั้นฐานะการคลังของประเทศ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยให้เป็นจริง

เมื่อมาตรวจสอบถังเงินของประเทศ กระทรวงการคลังรายงานฐานะการคลังของประเทศในรอบ 10 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565-ก.ค.2566) พบว่า รัฐบาลเก็บรายได้จำนวน 2.1 ล้านล้านบาท มีรายจ่าย 2.7 ล้านล้านบาท ทำให้ขาดดุลงบประมาณตามกระแสเงินสด 7.7 แสนล้านบาท

ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดดเชยการขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท ทำให้ขาดดุลยังเหลืออีก 3.2 แสนล้านบาท เอาเงินคงคลังที่ต้นปีงบประมาณ 6.2 แสนล้านบาท มาโปะทำให้เงินคงคลังล่าสุดเหลืออยู่ 3.9 แสนล้านบาท ซึ่งหากไปดูไส้ในของเงินคงคลังที่เหลือส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ที่กู้มากองเตรียมไว้กรณีรายได้เก็บเข้ามาไม่พอกับรายจ่าย

ในส่วนของการเก็บรายได้ของประเทศ จะพบว่า ในรอบ 10 เดือนปีงบประมาณ 2566 เกินเป้าหมาย 1.5 แสนล้านบาท ทั้งกรมสรรพากร กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่นๆ ยังเก็บได้เกินเป้าหมาย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี

จะมีก็ในส่วนของกรมสรรพสามิต เก็บภาษีต่ำกว่าเป้าหมาย 8.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลกระทบการลดภาษีน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันได้กลับมาเก็บอัตราปกติแล้ว

ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า หากรัฐบาลเศรษฐา จะใช้วิธีการเลิกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งหมด เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง จะกระทบกับการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและรายได้ของรัฐบาลอย่างรุนแรง

เพราะแค่ลำพังลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล รายได้ภาษียังหายไปเป็นแสนล้านบาท หากไม่เก็บภาษีน้ำมันทุกประเภท จะทำให้ฐานะการคลังของประเทศมีปัญหา

ซึ่งต้องวัดใจว่า รัฐบาลเศรษฐา จะใช้วิธีการไหนลดราคาน้ำมันให้ถูกลงทันที เพราะในแง่ของการยกเลิกเก็บภาษี จะพาฐานะของประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง

นอกจากนี้ รัฐบาลเศรษฐา ยังต้อองแบกหนี้สาธารณะอีก 11 ล้านล้านบาท ประมาณ 61% ของจีดีพี ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบยั่งยืนทางการคลังทีมีการขยายเพดาน 60% เป็น 70% ซึ่งยังมีช่องกู้ได้อีกกว่า 2 ล้านล้านบาท มาใช้ทำนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่สัญญาไว้กับประชาชน

ซึ่งการจะใช้เงินภาษีหลายแสนล้านบาท และเงินกู้เป็นล้านล้านบาท ไปลุยไฟทำนโยบายเศรษฐกิจที่หาเสียงไว้ หากทำแล้วเศรษฐกิจขยายตัวได้มั่นคง ฐานะของประเทศคงไม่มีปัญหา เพราะประเทศจะเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น ทำงบขาดดุลให้น้อยลง มีเงินไปชำระหนี้เงินต้นได้มากขึ้น

แต่หากทำแล้วเศรษฐกิจไม่โตจริง ทุกอย่างจะดิ่งลงเหลว เศรษฐกิจไม่โต การเก็บรายได้ลดลง สัดส่วนหนี้สาธารณะจะพุ่งชนเพดาน 70% ต่อจีดีพีอย่างรวดเร็ว

ซึ่งหากยอมรับความจริงต้องถือว่า ถังเงินประเทศ มีให้รัฐบาลเศรษฐาใช้ได้ไม่มาก แต่มีวงเงินกู้อยู่จำนวนไม่น้อยที่จะกู้มาโปะทำนโยายเศรษฐกิจที่สัญญาไว้กับประชาชน ซึ่งมีความเสี่ยงและเดิมพันทางเศรษฐกิจสูงหากทำแล้วไม่สำเร็จสวยหรูออกมาอย่างที่วาดฝันไว้

TAGS: #เศรษฐา #เศรษฐกิจ #รายได้ #ถังเงินประเทศ