ธนาคารเอชเอสบีซีเผยบทวิจัยการเลือกตั้งในประเทศไทย “นายกฯ คนใหม่ กับโอกาสใหม่ในการใช้จ่าย” คาดนโยบายหาเสียงสารพัดแจกทำให้งบประเทศขาดดุลเพิ่มขึ้น
ฝ่ายวิจัยของธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC Global Research) ออกบทวิจัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศไทยภายใต้หัวข้อ “นายกฯคนใหม่ กับโอกาสใหม่ในการใช้จ่าย” ระบุรัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มกระตุ้นการใช้จ่ายในครึ่งแรกของปี 2567 ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎการเลือกนายกรัฐมนตรี ด้านอัตราดอกเบี้ยคาดว่าความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการคลังอาจทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนชันขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินบาทไทยมีการตอบสนองเชิงบวกต่อความไม่แน่นอนที่ลดระดับลง แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงรูปแบบอื่นๆ ในการฟื้นตัว
สามเดือนหลังการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม รัฐสภาได้เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐบาลชุดใหม่นี้มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีก 3 พรรค ได้แก่ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ
มร. อาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารเอชเอสบีซี เผย เราประเมินการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ของจีดีพี (จากเดิมที่คาดไว้ที่ 4.1%) และลดการคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 ลงเหลือ 2.2% ของจีดีพี ซึ่งเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 2.8%
โดยที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้ให้คำมั่นสัญญาในช่วงหาเสียงว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินดิจิทัลมูลค่า 10,000 บาท และเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 จากการเปลี่ยนกติกาในการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันดังกล่าว เราจึงคาดว่ารัฐบาลชุดที่กำลังจะเข้ามาบริหารจะเร่งผลักดันนโยบายที่เสนอไว้และกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (Front-loaded spending) ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
แต่ความเสี่ยงที่อาจตามมาคือธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะกลับมาใช้นโยบายแบบเข้มงวดอีกครั้งหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรอจับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2567 ก่อน ประกอบกด้วย
1.การตั้งงบประมาณ สามารถทำได้หลังจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่จะยังไม่มีการอนุมัติงบประมาณไปจนกว่าจะถึงช่วงต้นของปีงบประมาณ 2567 (ซึ่งเริ่มในเดือนตุลาคม 2566) ด้วยเวลาที่จำกัดและรัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องเสนองบประมาณให้รัฐสภาพิจารณา ดังนั้นเราจึงคาดว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะยังคงลดลงในไตรมาส 4 ของปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตมีการชะลอตัวลงอีก จากเดิมที่ต่ำกว่าการคาดการณ์อยู่แล้ว โดยในไตรมาส 2 ของปี 2566 เติบโตเพียงร้อยละ 1.8 เท่านั้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
2.แม้อาจจะมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่เราก็คาดว่าจะมีการกำหนดงบประมาณแบบขยายตัว ในช่วงฤดูหาเสียง ทุกพรรคการเมืองเสนอนโยบายแจกเงินสดและเงินอุดหนุนในลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งมีมูลค่าสูงจนสร้างความวิตกกังวลว่าจะกระทบกับเสถียรภาพทางการคลังและนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อสำหรับพรรคเพื่อไทยนั้น แคมเปญหลักที่ให้สัญญาไว้คือแจกเงินดิจิทัลให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 3.1 ของจีดีพี และยังมีนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เพิ่มรายได้ของเกษตรกร 3 เท่าและประกันรายได้ครัวเรือน 20,000 บาทต่อเดือน
3.จากคำมั่นสัญญาเหล่านี้ เราคาดว่าการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ของจีดีพี (จากที่ก่อนหน้านี้อยู่ที่ร้อยละ 4.1) หรือ 8.4 แสนล้านบาท ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลชุดที่แล้วได้จัดสรรงบประมาณเอาไว้ที่ 3.35 ล้านล้านบาท โดยคาดการณ์การขาดดุลที่ 6 แสนล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 3.0 ของจีดีพี การเพิ่มขึ้นของการขาดดุลที่ร้อยละ 4.4 มาจากค่าใช้จ่ายในการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่เพิ่มเข้ามา โดยเราคาดการณ์ว่าเพื่อให้จัดสรรงบประมาณได้อย่างเพียงพอ อาจจะมียกเลิกนโยบายสวัสดิการอื่นๆ เช่น เงินอุดหนุนรายเดือนสำหรับผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 300 บาท เบี้ยผู้สูงอายุรายเดือน และเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์นี้เป็นการประเมินให้ต่ำเอาไว้ก่อนเนื่องจากยังคงไม่มีความแน่นอนในด้านนโยบายสำหรับสวัสดิการที่ดำเนินอยู่แล้ว
ธนาคารเอชเอสบีซี ยังมองว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะกระจุกตัวอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน เหตุผลหลักที่ทำให้คาดการณ์เช่นนั้นเป็นเพราะว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่วุฒิสภาจะไม่มีอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี โดยอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในสภาล่างนี้ พรรคก้าวไกลที่เป็นฝ่ายค้านเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุด ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องเลือกดำเนินนโยบายต่างๆ ที่สัญญาไว้ในขณะหาเสียงก่อนถึงวันที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามดูอัตราเงินเฟ้อถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากการกระตุ้นเศรฐกิจครั้งใหญ่แล้ว พรรคเพื่อไทยยังเสนอให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากปัจจุบันที่ 340 บาท เป็น 600 บาทต่อวันให้สำเร็จภายในปี 2570 เราคาดว่าในไตรมาส 2 ของปี 2567 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) อาจเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หากอัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้อันเป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบขยายตัวและการขึ้นค่าแรงก็มีความเสี่ยงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะกลับมาใช้มาตรการเข้มงวดทางการเงินอีกครั้ง ส่งผลให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2.50% แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน เราคาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% จนถึงปี 2568 เป็นอย่างน้อย