พลังงานถกลดค่าการตลาดเบนซิน หวั่นทำได้แค่ช่วงสั้นสวนทางน้ำมันโลกขาขึ้น ด้านกองทุนน้ำมันฯเงินกู้มาแน่ 5.5 หมื่นล้านพยุงใช้จ่าย ล่าสุดหนี้สะสม 59,085 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดรายจ่ายให้ประชาชน
ทั้งนี้ความเป็นไปได้ในการลดราคาขายปลีก มองใน 2 ประเด็นคือ การลดค่าการตลาดของผู้คาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันข้อมูลของสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กลุ่มเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.34 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลเฉลี่ยอยู่ท่ 1.88 บาทต่อลิตร แต่ต้องยอมรับว่าตัวเลขค่าการตลาดที่เอกชนคำนวณกับที่หน่วยงานรัฐมองไม่ตรงกันนัก ดังนั้นต้องมาพิจารณาตัวเลขที่เหมาะสมที่สุด เพื่อทำให้ราคาขายปลีกลดลงบ้าง
นอกจากนี้แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย 1 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มโอเปกคาดว่าอุปสงค์น้ำมันโลกยังแข็งแกร่งและจะปรับเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567 รวมถึงตลาดจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันในปีนี้หากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันยังปรับลดกำลังผลิตต่อไป
อย่างไรก็ตามการปรับลดค่าการตลาดเป็นเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือกับภาคเอกชนเท่านั้น เพราะธุรกิจน้ำมันเป็นตลาดเสรี ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางธุรกิจด้วย ซึ่งตัวเลขที่ลดแล้วจะเกิดแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจได้ไม่เกิน 1-2 บาทต่อลิตร แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
แหล่งข่าวกล่าวว่า ทางสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ระหว่างสรุปแหล่งเงินกู้ 5.5 หมื่นล้านบาทก้อนสุดท้ายเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมัน ฯไว้ใช้บริหารราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) โดยยังต้องใช้เงินในการดูแลราคาดีเซล แม้จะลดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันไปเฉลี่ย 2 บาทกว่า เริ่ม 20 ก.ย. เพื่อคงราคาดีเซลไว้ 30 บาท แต่ปัจจุบันราคาดีเซลจริงเกือบ 40 บาทต่อลิตร และยังต้องใช้เงินชดเชยอยู่ลิตรละ 7.71 บาท เฉลี่ยต้องจ่ายวันละ 392.65 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมาตรการตรึงราคาแอลพีจีราคาเดิมจนถึงสิ้นปี ส่งผลให้มีรายรับลดลงเหลือวันละ 4.18 ล้านบาทจากก่อนหน้านี้ที่มีเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่อลดหนี้สะสมของบัญชีแอลพีจีซึ่งขณะนี้ยังติดลบอยู่ 44,774 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากได้เงินกู้ก้อนล่าสุดอีก 5.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนต.ค. จะทำให้กองทุนน้ำมันมีสภาพคล่องดูแลราคาขายปลีกตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างน้อยถึงสิ้นปี2566