ส.อ.ท.ชี้กดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย เป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ เชียร์รื้อโครงสร้างแก้ค่าไฟแบบยั่งยืน เชื่อราคาอาหารลงได้ใน 15 วัน ส่วนสินค้าหนักลดตามรอบสต็อกวัตถุดิบต้องใช้เวลา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 ที่เห็นชอบปรับลดค่าไฟฟ้างวดก.ย.-ธ.ค.66 เพิ่มเติมจากมติครม.นัดแรกเมื่อ 13 ก.ย.66 จากอัตราเรียกเก็บ 4.10 บาท/หน่วย เหลือเป็น 3.99 บาท/หน่วยว่า แนวทางดังกล่าวถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์สำหรับภาคเอกชนเพราะก่อนหน้านี้ทางภาคเอกชนเองเรียกร้องการปรับลดลงจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ประกาศที่อัตรา4.45 บาท/หน่วยให้เหลือ 4.25 บาท/หน่วยและล่าสุดทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายระยะต่อไปที่จะให้เหลือ 3 บาท/หน่วยหากดำเนินการได้จริงก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย
“ การลดลงครั้งแรก 4.10 บาท/หน่วยเราก็ถือว่าเซอร์ไพรส์แล้วแต่พอลดเหลือ 3.99 บาท/หน่วยก็ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์กว่า จึงขอขอบคุณท่านนายกฯเศรษฐาที่สมกับเป็นนักธุรกิจที่แก้ปัญหาอย่างตรงจุดเพราะการลดค่าไฟจะเป็นการลดค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนภาคธุรกิจให้กับผู้ผลิตสินค้าที่จำหน่ายในประเทศแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้และการส่งออกจะเพิ่มขีดแข่งขัน ที่สำคัญคือการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่ขณะนี้มีการย้ายฐานการผลิตซึ่งไทยเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่นักลงทุนสนใจอยู่ ส่วนขั้นตอน(Step)ต่อไปอยากให้รัฐบาลปรับโครงสร้างพลังงานภาพรวมที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าของไทยมีความยั่งยืนไม่ใช่ต้องมาคอยแก้ไขปัญหาทีละจุดเช่นปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตามการที่ต้นทุนพลังงานทั้งดีเซล ค่าไฟ ปรับลดลงในส่วนของราคาสินค้าที่จะลดลงนั้นต้องเข้าใจโครงสร้างต้นทุนการผลิตที่ต้องดูจากสต็อกวัตถุดิบด้วยโดยสินค้าประเภทอุปโภคที่เป็นอาหารสดซึ่งเป็นเรื่องปากท้องชาวบ้านโดยตรงที่ผ่านมาเมื่อต้นทุนเพิ่มได้มีการปรับขึ้นเช่น อาหารจากจานละ 50 บาทก็เป็นจานละ 60-70 บาท โดยอาหารเหล่านี้จะสต็อกสินค้า 1-3 วันเหล่านี้สามารถลดราคาลงได้ภายใน 15 วันทันที
ขณะที่สินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมจะต่างกันไปโดยหากเป็นการใช้วัตถุดิบในประเทศจะมีอัตราการสต็อกวัตถุดิบเฉลี่ย 30-60 วัน กรณีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเฉลี่ยจะสต็อกราว 90-100 วัน ดังนั้นการปรับราคาสินค้าจะเป็นไปรอบตามสต็อกวัตถุดิบที่จะทยอยปรับลดลง
อย่างไรก็ตามสินค้าภาคอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นที่เกี่ยวข้องกับอุปโภคและบริโภค บางรายการก็เป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้ว เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้องขออนุญาตปรับราคาขายปลีก ฯลฯ นอกจากนี้สินค้าบางอย่างก็เป็นไปตามกลไกการแข่งขันในตลาดหากมีการแข่งขันสูงเขาก็ต้องสู้ด้วยราคาอยู่แล้ว ดังนั้นแต่ละอุตสาหกรรมก็ต่างกันไป
นายเกรียงไกร กล่าวถึง นโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นเป็น 400 บาท/วันนั้นเข้าใจว่ารัฐบาลได้ลดค่าพลังงานเพื่อลดรายจ่ายก็ต้องการเพิ่มรายได้อีกส่วนหนึ่ง แต่รายละเอียดก็ยังไม่ได้ชัดเจนเพราะทางนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานได้หารือทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้าง ที่เป็นไตรภาคี รวมถึงส.อ.ท.ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ชี้แจงแล้วว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำควรดำเนินการภายใต้กลไกไตรภาคีซึ่งก็เห็นตรงกันและหากขึ้นไม่ควรจะกระชากแรงจนกระทบต่อต้นทุนจนผู้ประกอบการรับไม่ไหวและเข้าใจว่า 400 บาท/วันน่าจะเป็นการปรับขึ้นบางจังหวัดและตามประเภทอาชีพบางอาชีพ