โรงไฟฟ้าชุมชนเกิดตามแผน ย้ำชัดต้องรอบคอบ ปัดเงินประกัน 500 ลบ.ข้อมูลมั่ว

โรงไฟฟ้าชุมชนเกิดตามแผน ย้ำชัดต้องรอบคอบ ปัดเงินประกัน 500 ลบ.ข้อมูลมั่ว
โฆษกพลังงานระบุโรงไฟฟ้าชุมชนต้องระดมหลายภาคส่วน ยันไม่ได้ล่าช้า ชี้วิสาหกิจชุมชนถือหุ้นได้มากกว่า 10% มั่นใจเกิดเงินหมุน 2.8 หมื่นล้านบาท

สมภพ  พัฒนอริยางกูล  โฆษกกระทรวงพลังงาน  กล่าวถึง โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า เป็นโครงการ ซึ่งอยู่ในระยะนำร่องที่ร่วมกันหลายภาคส่วน โดยภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ส่วนวิสาหกิจชุมชนจะเป็นผู้รวบรวมเชื้อเพลิง จากเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานส่งให้กับโรงไฟฟ้าในรูปแบบ Contract Farming

สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นของวิสาหกิจชุมชน 10 % นั้นเป็นโครงการนำร่อง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเงินลงทุนค่อนข้างสูง หากให้วิสาหกิจชุมชนเป็นเจ้าของเองจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยในระยะเริ่มแรกให้วิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนนี้ไปก่อน แต่หากชุมชนมีความพร้อมในอนาคตสามารถถือหุ้นเพิ่มเติมตามความตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมิได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด

ทั้งนี้ภายใต้รูปแบบการบริหารของโรงไฟฟ้าชุมชนวิสาหกิจฯ จะมีรายได้แน่นอนสม่ำทุกวัน และเกษตรกรมีรายได้จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานให้โรงไฟฟ้าในสัดส่วน 80% ของปริมาณเชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้าใช้ทั้งหมด อีกทั้งยังจะมีรายได้หรือผลประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆ ตามที่ผู้เสนอโครงการหรือภาคเอกชนจะต้องทำความตกลงกับชุมชน เพื่อสามารถนำเงินดังกล่าวไปช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค ด้านการรักษาพยาบาล ด้านการศึกษา เป็นต้น

อย่างไรก็ตามภาพรวมโรงไฟฟ้าชุมชนฯจะช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 28,000 ล้านบาท เกษตรกรมีรายได้จากการเชื้อเพลิงระยะยาว 20 ปี มูลค่าประมาณ 33,800 ล้านบาท และเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพกว่า 23,600 อัตรา ซึ่งช่วยลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงานและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน

ส่วนประเด็นที่ต้องมีเงินประกันสัญญา 500 ล้านบาทนั้น มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากตามระเบียบของโครงการระบุว่า ผู้ยื่นขายไฟฟ้าต้องวางหลักประกัน จำนวน 500 บาทต่อกิโลวัตต์ของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขาย ดังนั้นผู้ยื่นจะต้องวางหลักประกัน 1.5 – 3 ล้านบาทต่อโครงการ เท่านั้น

 

 

 

 

 

“ขอให้มั่นใจ โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากโครงการนำร่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ พิจารณาประเด็นให้ครบถ้วนรอบด้านมากที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับรายได้และผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรในระยะยาว  ส่วนเหตุที่ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างครบถ้วนแล้ว โดยพบว่าไม่ปรากฏพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมลงนามสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกับผู้เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนต่อไป”

TAGS: #โรงไฟฟ้าชุมชน #เศรษฐกิจฐานราก #เงินประกัน