ธนาคารกรุงไทย มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.90-37.25 บาท/ดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.11 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.04 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 37.02-37.16 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ (JOLTs Job Openings) ทั้งนี้ แม้ว่า ยอดตำแหน่งงานเปิดรับจะเพิ่มขึ้น สูงกว่าที่ตลาดคาดพอสมควร ทว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของทั้ง Quit Rate และ Hire Rate (ซึ่งมักจะสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราการเติบโตของค่าจ้าง) ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคง “แข็งแกร่ง” หรือไม่ ทำให้โดยรวม เงินดอลลาร์และราคาทองคำยังคงแกว่งตัว sideway อนึ่ง เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลงทดสอบโซนแนวรับสำคัญ
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Nonfarm Employment) และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดได้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า RBNZ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่เริ่มชะลอลงบ้าง ขณะที่ราคาทองคำเริ่มมีสัญญาณพร้อมรีบาวด์สูงขึ้น ก็อาจช่วยชะลอโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง ทำให้ เรายังคงประเมินโซนแนวต้านของเงินบาทในช่วงโซน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีความผันผวนและยังมีทิศทางไหลออก ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะเห็นการกลับตัวของบอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยและลดแรงขายบอนด์จากนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง ส่วนในฝั่งหุ้น เรายังคงมองว่า แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสชะลอลง หลังดัชนี SET ได้ปรับตัวลงมาพอสมควร จนในเชิง Valuation ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพง (เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจเน้น buy on dip และเลือกลงทุนในหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ)
อย่างไรก็ดี ควรจับตาความเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังจากที่เงินเยนญี่ปุ่นได้เคลื่อนไหวผันผวนผิดปกติในช่วงคืนก่อนหน้า จนทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเริ่มเข้าแทรกแซงค่าเงิน อนึ่ง เรามองว่า แม้ทางการญี่ปุ่นจะเข้าทำการแทรกแซงค่าเงินจริง แต่ก็ไม่อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่นพลิกกลับมาแข็งค่าได้อย่างยั่งยืน จนกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น ทว่า ความผันผวนของเงินเยนญี่ปุ่นก็อาจส่งผลให้ต่อตลาดค่าเงินโดยรวมได้
ทั้งนี้ ควรระมัดระวัง ความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ (ซึ่งจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจส่วนใหญ่กว่า 70% อยู่ในภาคการบริการ)
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.90-37.25 บาท/ดอลลาร์