3 กูรู มองหุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน รัฐฯเริ่มใช้งบประมาณปี 2567 รวมถึงกนง.ปรับลดดอกเบี้ย ถือเป็นความหวังในการสร้างความเชือมั่นให้ตลาดหุ้นไทยและดึง Fund Flow กลับเข้ามาอีกครั้ง
ในงานสัมมนา ‘The Better Future Forward 2024 จัดโดยสำนักข่าว The Better ในโอกาสขึ้นสู่ปีที่ 2 ณ Next Stage ศูนย์การค้าสยามพารากอน ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาให้มุมมองในหัวข้อ Mega Trend Invesment 2024 รวมถึงทิศทางของตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร และยังน่าสนใจหรือไม่
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติไม่ให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทยเท่าไรนัก จะเห็นได้จาก Fund Flow ที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีการเติบโต ยกตัวอย่าง กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ที่คาดว่าออกมาอยู่ที่ 88 บาท/หุ้น โดยเท่ากับระยะเวลาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ยังเจอในเรื่องปัญหาของหลักธรรมาภิบาล โดยบางบริษัทดีๆ มีการออกกฏเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อคู่ค้า แต่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุน อย่างเช่นการขยายมาตรการให้ความช่วยเหลือคู่ค้าในเวลาที่ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ
แต่หากถามว่าตอนนี้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกหมดหรือยัง ต้องบอกว่ายังไม่หมดแต่จะทยอยขายต่อเนื่อง แต่ถามว่าผ่านจุดต่ำสุดหรือยัง? ก็มองว่ายังไม่ถึง เพราะว่าแรงขายยังมีอยู่และนักลงทุนเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองกับตลาดหุ้นไทย
แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ "พิธา" รอดจากคดีหุ้นสื่อยังถือเป็นเรื่องดีที่ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดูแย่ไป เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสำคัญมาก และเป็นคำวินิจฉัยที่ประชาชนยอมรับได้ ซึ่งสะท้อนได้ถึงบรรทัดฐานในเรื่องของระบบความยุติธรรม ดังนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนมุมมองเรื่องอื่นๆ ที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติมองการลงทุนในประเทศไทยดีขึ้นในอนาคต
ด้านทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือ เซียนมี่ นักลงทุนระดับพันล้าน กล่าวว่า สำหรับปี 2567 ถือว่าเป็นปีปรับฐานของตลาดหุ้นไทย ถึงแม้นโยบายของภาครัฐจะยังไม่สามารถจับต้องได้แต่นายกฯยังเดินหน้าพบปะพันทมิตรในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี ที่จะทำให้เราเห็นว่าปีหน้าอาจเกิดการตั้งฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นหากรายงานและสถิติการลงทุนจากต่างประเทศ(FDI) ออกมาดีก็จะมีการจ้างงานตามมาและมีการผลิต การส่งออกในปีถัดไป ดังนั้น โดยส่วนตัวตนจึงมองว่าหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมน่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตจากนโยบายดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติของทางภาครัฐ
ด้านกระทรวง จารุศิระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ จำกัด กล่าวว่า หากตลาดหุ้นไทยจะทำ LOW ก็คงไม่แย่ไปกว่านี้ซึ่งดูจากตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) มองว่าเรารับรู้ไปในระดับหนึ่งแล้วเพราะฉะนั้นส่วนตัวมองว่าถ้าดัชนีหลุด 1,350 จุด จุดต่ำสุดถัดไปคือ 1,200 จุด เนื่องจาก ที่ผ่านมาเห็น SET ย่ำฐานอยู่ที่ 1,200 จุด ไปจนถึง 1,600 จุด มานานมาก แม้ในปีที่ก่อนโควิด-19 อาจมีทะลุไป 1,800 จุดไปบ้างก็ตาม ดังนั้นจึงมองว่าฐานของ SET จริงๆแล้วคือ 1,200 จุด
ประกิต กล่าวเสริมอีกว่า โดยส่วนแล้วความหวังที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาคือ 1. เรื่องการใช้งบประมาณปี 2567 , 2. รัฐบาลก้าวข้ามผ่านเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตไปให้ได้ นำเสนอมาตรการอื่นๆแทน ที่ไม่ฝังประชาชนให้อยู่แค่กับนโยบายนี้ , 3.คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยมองว่าถ้าลด 0.25% อัพไซต์ SET จะเพิ่มถึง 80 จุด
และหากอิงในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจ มองว่าปี 2566 น่าจะเป็นปีต่ำสุดในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดก็ได้รับรู้ไปแล้ว ซึ่งตัวเลข GDP ไตรมาส4/566 ที่หลุดออกมาค่อนข้างแย่และถึงแม้ตลาดจะตอบรับไปแล้ว รวมถึงคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆในปี 2567 จะออกมาดีก็ตาม แต่เชื่อว่าความไม่เชื่อมั่นยังเกาะอยู่ในความรู้สึกของนักลงทุนทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดความไม่เชื่อมั่นได้สลายไปก็จะดีขึ้น เช่น ตัวเลข GDP ออกมาดีกว่าคาดซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในช่วงไตรมาส2/2567 เนื่องจากเป็นช่วงที่รัฐบาลจะเริ่มใช้งบประมาณปี 2567 หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆตั้งแต่ไตรมาส2 ของปีที่ผ่านมา เนื่องจากอยู่ในช่วงสุญญากาศของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ รวมถึงงบประมาณยังไม่มีการใช้