GC ชูกลยุทธ์ 3 Steps Plus ผนวกมาตรการภายในที่เข้มแข็ง พลิกทำกำไรไตรมาส 3 ตั้งงบกว่า 2 หมื่นล้านบาทขยายลงทุนปี’67 เล็งศึกษาปรับพอร์ตธุรกิจใหม่
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก และ Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ทั่วโลก ในขณะที่ GC ได้มีการวางแผนเตรียมรับมือล่วงหน้า มุ่งเน้นทำสิ่งที่เราควบคุมได้ และดำเนินมาตรการภายในที่เข้มแข็งมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 ผ่านโครงการกว่า 10,000 โครงการ ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยมากกว่า 6,900 ล้านบาทต่อปี
สำหรับมาตรการภายในที่เข้มแข็งดังกล่าว ได้แก่ 1.Business Enhancement: การเพิ่มประสิทธิภาพ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต ได้ผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยมากกว่า 5,200 ล้านบาทต่อปี 2.Organization & Digital Transformation: ปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ การปรับโครงสร้างองค์กร และเพิ่มศักยภาพบุคลากร ได้ผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยประมาณ 1,700 ล้านบาทต่อปี
3.ดำเนินมาตรการทางการเงิน: คงวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง บริหารสภาพคล่อง ควบคุมค่าใช้จ่าย และ บริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศลด OPEX ต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2566 คาดว่าจะลดได้ 1,500-2,000 ล้านบาท ลด CAPEX ประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยการเลือกลงทุนอย่างชาญฉลาดในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และใน
ขณะเดียวกันสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกการลดหนี้และบริหารต้นทุนทางการเงิน โดยการซื้อคืนหุ้นกู้ (US Bond buy back) ทำให้มีกำไรประมาณ 460 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี Asset Light Strategy: ปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดการถือครองสินทรัพย์ที่เป็น Non-core Assets
“ผลจากการดำเนินตามกลยุทธ์ 3 Steps Plus ส่งผลให้ GC มีพื้นฐานที่ดี และมีผลบวกในด้านต่างๆ รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้ GC ได้ทำการทบทวนและจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป โดยกลยุทธ์ 3 Steps Plus ประกอบด้วย (1) Step Change ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ (2) Step Out มุ่งสู่ธุรกิจ High Value (Specialty Chemicals) and Low Carbon ( Bio and Circularity) และ (3) Step Up บูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่ง GC มีการดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้”
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2566 ของ GC ปรับตัวดีขึ้น มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท มี Adjusted EBITDA ที่ 12,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2566 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงขาลง มีการปรับตัวลดลงของ EBITDA ในไตรมาสที่ 3/2566 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 2/2566 ประมาณ 20 – 40 %
ทั้งนี้ ในปี 2567 จะใช้งบกว่า 20,000 ล้านบาท ลงทุนในโครงการต่อเนื่อง และ ใช้สำหรับโครงการซ่อมบำรุงขณะเดียวกัน บริษัท ยังเดินหน้าศึกษาการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เพื่อรับมือความเสี่ยงทางธุรกิจที่จะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีทั้งการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ(M&A) และการขายสินทรัพย์ในบางส่วนออกไป คาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นการดำเนินการได้ในปีหน้า
ทางGC องค์กรยั่งยืนได้รับการยอมรับในระดับสากลและระดับประเทศGC ได้รับรางวัล DJSI อันดับหนึ่งของโลก ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ ต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน (2562-2565) และในปี 2566 ได้รับคะแนนสูงสุดในกลุ่มเคมีภัณฑ์ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566
นอกจากนี้ยังมีรางวัลเกียรติยศอื่นๆ อาทิ รางวัล Platinum ระดับสูงสุดจาก Ecovadis, ดัชนีชี้วัดความยั่งยืน CDP Water and Climate ได้รับการจัดอันดับ A LIST, องค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนระดับสูงสุด (LEAD) ของโลกจาก UN Global Compact Lead, หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับ AAA
ล่าสุดได้ตอกย้ำศักยภาพการเป็น Sustainability Thought Leader จากการจัดงาน GC Sustainable Symposium 2023: We are GEN S ซึ่งเป็นเวทีแบ่งปันองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีผู้ชมการถ่ายทอดสดผ่าน LIVE ใน 125 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังได้ต่อยอดธุรกิจเพื่อก้าวสู่การเป็น “องค์กรคาร์บอนต่ำ” และเพิ่ิมโอกาสในการร่วมงานกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ ที่สำคัญ
“ความสำเร็จของ GC ไม่เพียงตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยความรับผิดชอบต่อโลก แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของคณะผู้บริหารและบุคลากรทุกคนที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตให้กับองค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” ดร.คงกระพัน กล่าว