ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยบาทอ่อนต่อตามแนวโน้มเศรษฐกิจ-แรงขายหุ้นไทยต่างชาติต่อเนื่อง สัปดาห์หน้าตามติดเฟดต่อ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่35.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าลงตามเงินเยนและสกุลเงินเอเชียบางส่วนช่วงต้นสัปดาห์ก่อนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งตลาดคาดว่า BOJ น่าจะคงนโยบายการเงิน และอาจจะยังไม่ส่งสัญญาณมากนักเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน
อย่างไรก็ดี เงินบาทแกว่งตัวในกรอบอ่อนค่าในช่วงต่อมาท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย แม้เงินเยนจะเริ่มฟื้นตัวกลับ
หลังถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ ถูกตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณเชิงคุมเข้ม และ BOJ ใกล้ที่จะถอนตัวออกจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษแล้ว
นอกจากนี้ เงินบาทยังอ่อนค่าลงตามแรงขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องของต่างชาติ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่มีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดี อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนม.ค. และจีดีพีไตรมาส 4/66 ซึ่งหนุนโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดจะยืนอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงขายเงินดอลลาร์ฯเพื่อปรับโพสิชั่นก่อนตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในคืนวันศุกร์ (26 ม.ค.) และก่อนการประชุมเฟดในวันที่ 30-31 ม.ค. นี้
ในวันศุกร์ที่ 26 ม.ค. 2567(ก่อนช่วงตลาดนิวยอร์ก) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ม.ค.2567)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 ม.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 11,413 ล้านบาท และ 1,619 ล้านบาท ตามลำดับ
สัปดาห์ถัดไป (29 ม.ค.-2 ก.พ.)
ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 35.30-36.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติผลการประชุมเฟด (30-31 ม.ค.) และรายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนธ.ค. 2566 ของธปท. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่
ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียน ของแรงงาน (JOLTS) เดือนธ.ค. ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนม.ค.
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE จีดีพีไตรมาส 4/2566 ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน แต่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้หุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ และแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี 3 เดือนที่ 1,352.48 จุด
โดยเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์หลังผลประกอบการไตรมาส 4/66 ออกมาต่ำกว่าคาด
ประกอบกับมีปัจจัยลบจากข่าวสศค. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 และ 2567 ลง หุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากการเตรียมตั้งกองทุนพยุงหุ้นและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน และจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศ
อย่างไรก็ดีหุ้นไทยย่อตัวลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากความกังวลเรื่องผลประกอบการ และแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า (30-31 ม.ค.)
ในวันศุกร์ที่ 26 ม.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,368.15 จุด ลดลง 1.04% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 48,684.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.22% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.89% มาปิดที่ระดับ 408.82 จุด
สัปดาห์ถัดไป (29 ม.ค.-2 ก.พ.)
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,360 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,380 และ 1,390 จุด ตามลำดับ
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (30-31 ม.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของบจ.ไทย ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค.รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2566 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ เดือนม.ค.