PTG วางโรดแมป 5 ปี ชิงมาร์เก็ตแชร์ Retail Oil มากกว่า 25%

PTG วางโรดแมป 5 ปี ชิงมาร์เก็ตแชร์ Retail Oil มากกว่า 25%
PTG วางโรดแมป 5 ปี ชิงมาร์เก็ตแชร์ Retail Oil มากกว่า 25% พร้อมแตกไลน์ธุรกิจลุยโซลาร์รูฟท็อป-บริหารจัดการขยะ

 

สามปีที่ผ่านมาผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้ทั่วโลกเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างหยุดชะงักรวมถึงความต้องการการใช้น้ำมันก็ลดลงเป็นอย่างมากจากมาตรการล็อกดาวน์ และปิดประเทศ แต่เมื่อการแพร่ระบาดโควิด-19 เบาบางลง กิจกรรมต่างๆทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้นและอาจกลับไปเท่าเดิมเท่าก่อนช่วงเกิดการแพร่ระบาดได้

พิทักษ์  รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงแผนดำเนินธุรกิจบริษัทฯภายใน 5 ปี ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะมี Retail Oil Market Share กว่า 25% ซึ่งจะเติบโตจากการขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 2,406 สาขา ภายในปี 2570 จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะสามารถทำได้ 2,206 สาขา

นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้ามีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิกซึ่งจะครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ และมีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา

ส่วนแผนการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯวางเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย  (EBITDA) โต 8-12% จากปีก่อนกว่า 5,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมถึงมาร์จิ้นดีขึ้นจากธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีด้วยเช่นกัน

โดยบริษัทฯวางเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโต 8-12% จากปีก่อนทำได้ 5,316 ล้านลิตร และปริมาณการขายก๊าซ LPG เติบโต 40-60% ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศ

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil คาดว่ายอดขายเติบโต 80-90% ตามการขยายสาขา โดยปีนี้บริษัทฯวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจ Non-Oil ประมาณ 2,000-2,500 บาท ธุรกิจน้ำมัน ประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัทฯ และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ซึ่งโครงการนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง Phase 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW

โดยในปัจจุบัน Phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี และคาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)

ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy ของบริษัทฯ และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัทฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 และเปิด COD ได้ในปี 2568

คุณพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีแผนนำธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2568 โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนราว 1,000 ล้านบาท

ขณะที่ความคืบหน้าการนำบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPPGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะสามารถทำได้ภายในปี 2566 นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นไฟลิ่งธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ภายใต้บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ในไตรมาส 2/2566 อีกด้วย

 

 

 

TAGS: #PTG #oil #nonoil