BAFS ปรับโครงสร้างธุรกิจเดินหน้าลงทุนธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสีเขียว เร่งปิดดีลเชื่อมท่อน้ำมันสระบุรี-อ่างทอง สร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยว่า BAFS GROUP มีนโยบายรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจบริการพลังงาน และสร้างสมดุลในโครงสร้างธุรกิจ โดยมีแผนขยายการลงทุนเชิงรุกด้านพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้หลักจากธุรกิจบริการน้ำมันอากาศยาน(JET)
ตลอดจนเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero target) โดยในปีที่ผ่านมาได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่เพื่อประกอบธุรกิจโดยมีรายได้จากการถือหุ้น ภายใต้ชื่อ BX Global Invest Pte ประเทศสิงคโปร์ และบริษัท BAFS X Mongolia LLC ในประเทศมองโกเลีย นอกจากนี้ ยังร่วมลงทุนในโครงการแปรรูปขยะเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ในสัดส่วนการถือหุ้น 30% กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปี 2569
ทั้งนี้ยังพัฒนาธุรกิจบริการพลังงาน เพื่อเป็นกลไกสำคัญสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยในปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งน้ำมันไปยังภูมิภาค ด้วยธุรกิจระบบท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันของประเทศ และช่วยลดการกระจายต้นทุนด้านพลังงานสู่ผู้บริโภคจากการขนส่งน้ำมัน
ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งแต่บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อ (FPT) เริ่มดำเนินการให้บริการน้ำมันผ่านระบบท่อ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้วกว่า 54,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นการปลูกต้นไม้ถึง 5,684,200 ต้น ทั้งนี้ ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันทางภาคเหนือสะสมในปี 2566 อยู่ที่ 3,336 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนที่ 3,250 ล้านลิตร
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเตรียมโครงการสร้างท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมระหว่างเส้นทางสระบุรี-อ่างทอง (link line)ระยะทาง 52 กม. เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายท่อขนส่งน้ำมันระหว่างภาคตะวันออกกับภาคเหนือเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยทำให้โครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันของประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้น และสอดรับเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินการของ BAFS GROUP ในปีที่ผ่านมายังเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยผลประกอบการไตรมาส 4/2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2565 จากนโยบายส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวสะสมตลอดทั้งปีจำนวนกว่า 28 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากปีก่อน และจากปริมาณขนส่งน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการระบบท่อส่งน้ำมันภาคเหนือ (NFPT) ที่เติบโตขึ้นมากกว่า 100% จากการทำธุรกิจเชิงรุก รวมทั้งจากการขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน
ทั้งนี้ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 4/2566 ลดลง 29% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจากค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการดำเนินกิจการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Airport Concession Fee: ACF) สำหรับต้นทุนทางการเงินสุทธิเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของตลาดเงินโดยรวม
ขณะที่ในไตรมาส 4/2566 BAFS GROUP ได้มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการปรับลดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 45.4 ล้านบาท ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของค่าความนิยมและเงินลงทุนรวมจำนวน 33.6 ล้านบาท และรับรู้ผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าแห่งหนึ่งจำนวน 15 ล้านบาท
รวมถึงมีการตัดจำหน่ายผลประโยชน์ภาษีเงินได้ (DTA) ที่คาดว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต จำนวน 65 ล้านบาทด้วย ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2566 BAFS GROUP มีขาดทุนสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 197.7 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมผลประกอบการในปี 2566 ของ BAFS GROUP มีรายได้รวม 3,074 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน มีขาดทุนสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 138 ล้านบาท ลดลง 51% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตามรายการดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อกระแสเงินสดแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากอัตราความสามารถในการทำกำไร (EBITDA Margin) จากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในปี 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2565