EGCO Group เดินหน้าขยายลงทุนปักหมุด 8 ประเทศ เน้นโครงการรับรู้รายได้ทันที หวังปีนี้พลิกกำไรหลังปี’66 ขาดทุน 8.3 พันล้าน เชื่อYunlinเสร็จปลายปี
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 มองโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ “4S” เตรียมงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท วางเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์
ทั้งนี้เน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นตั้งอยู่ รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกันจะเร่งรัดบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และบริหาร Portfolio และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ตามในปี 2567 มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2566 ได้แก่ โรงไฟฟ้า RISEC กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI รวมถึงรับรู้รายได้เพิ่มจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567
รวมถึงการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ Yunlin และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ตลอดจน ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES ที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาวซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน
ด้านโอกาสการลงทุนใหม่จะสามารถปิดดีลโครงการในรูปแบบ M&A อีก 2-3 โครงการ ภายในปี 2567 รวมทั้งความเป็นไปได้ในการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ที่จะหมดสัญญาในเดือนพฤษภาคม ปี 2568 โดยคาดว่าจะทราบผลการเจรจาที่ชัดเจนเร็ว ๆ นี้
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจใน ปี 2566 ยังคงมีปัจจัยที่ท้าทายหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด กดดันราคาพลังงานและการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยาบริษัทฯสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง ในรูปแบบ M&A เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยในปี 2566 EGCO Group สามารถปิดดีล การลงทุนได้ 3 โครงการ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอินโดนีเซีย
สำหรับผลประกอบการในปี 2566 มีรายได้รวม 56,983 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า Paju ES และ Linden Cogen ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง และโรงไฟฟ้า BLCP ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามภาพรวมมีขาดทุนสุทธิ 8,384 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้นของโครงการ Yunlin ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสดและไม่กระทบอัตราส่วนทางการเงินตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 EGCO Group มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 28,862 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.31 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
ด้านความคืบหน้าของโครงการ Yunlin ในไต้หวัน ปัจจุบันโครงการได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopile) แล้วเสร็จรวม 45 ต้น ซึ่งเป็นกังหันลม (Wind Turbine Generator) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีอัตราการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) เฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต
“มั่นใจปีนี้บริษัทจะสามารถมีกำไรได้ หลังโครงการต่างๆที่ลงทุนจะสามารถรับรู้รายได้ รวมถึงโครงการ Yunlin ที่แม้จะล่าช้าไป 2ปี เนื่องจากช่วงปี 2563-2564 เผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ไต้หวันมีมาตรการการเข้าออกประเทศที่เข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศ กระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมในช่องแคบไต้หวัน ทำให้มีระยะเวลาทำงานจำกัดแค่ 5 เดือน โดยปี 2566 ได้ปรับแผนการก่อสร้าง ปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ภายในปี 2567”
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2567 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงาน ครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่12 เมษายน 2567 จะทำให้ทั้งปี 2566 มียอดจ่ายปันผลทั้งหมดอยู่ที่ 6.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตรา เงินปันผลตอบแทนประมาณ 5%