KCG วางกลยุทธ์มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ขยายช่องทางการจำหน่ายครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้ประกอบการ พร้อมลงทุนเทคโนโลยียกระดับโรงงานและขยายกำลังการผลิตเนยและชีส
อุตสาหกรรมอาหารมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก จากปัจจัยเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจบริการอาหารและอุตสาหกรรมอาหารให้ขยายตัว
ตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทฯได้วางกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในประเทศไทย ผ่าน 4 แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่
1) ขยายกำลังการผลิตพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยวางแผนลงทุนเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อขยายกำลังการผลิต (Capacity Expansion) พร้อมบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
2) พัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงพัฒนาสูตรใหม่ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมและไม่ได้ทำจากนม เพื่อเป็นอาหารทางเลือกใหม่ซึ่งดีต่อสุขภาพและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำในการนำเสนอสินค้าสู่ตลาด (Trend Setter)
3) สร้างช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งช่องทางร้านสะดวกซื้อและตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) สำหรับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) พร้อมยกระดับการให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) อาทิ ผู้ให้บริการด้านอาหาร ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง (HORECA) และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหาร ผ่านการจัดหาผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ตลอดจนขยายตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปแล้ว 15 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้
4) ขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (M&A Opportunities) โดยบริษัทฯ มุ่งสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยเน้นธุรกิจที่มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ที่เสริมศักยภาพการเติบโตให้แก่ KCG อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพื่อให้เกิดการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนการลงทุนในปี 2566-2567 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ด้วยการลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าอย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเทพารักษ์ด้วยการนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต
โดยมีแผนในการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนย จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ในปี 2567 เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ