สิ่งที่ต้องรู้เมื่อลงทุน หุ้นสหรัฐฯ

สิ่งที่ต้องรู้เมื่อลงทุน หุ้นสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นอเมริกามีความผันผวนค่อนข้างสูง มากกว่าตลาดหุ้นไทย 2-3 เท่า ผลดีคือเรามีโอกาสทำผลตอบแทนได้สูงมากและหุ้นหลายตัวก็เป็นหุ้นระดับโลก

เริ่มต้นปีมาหาความท้าทายอะไรใหม่ๆให้ตัวเองกันค่ะ ปีนี้เป็นปีที่ผู้เขียนอยากศึกษาตลาดหุ้นต่างประเทศให้มากขึ้น เคยมีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นอเมริกามาอยู่บ้าง ปี2023 นี้จึงตั้งใจที่จะขยับพอร์ตลงทุนให้เติบโตขึ้น

ที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาของผู้เขียนนั้นเป็นการเก็บเล็กผสมน้อย มีความรู้จากการลงทุนในหุ้นไทยอยู่บ้างจึงได้ไปลองลงทุนหุ้นอเมริกา ปรากฎว่ามันมีความแตกต่างกันอยู่มาก จึงทำให้ต้องหันมาศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อนที่เงินที่ลงทุนจะหมดไปเสียก่อน เพราะตอนที่ตลาดหุ้นอเมริกาลงเปิดพอร์ตมาดูก็หน้าซีดไปพักนึง เลยบอกกับตัวเองว่าไม่ได้แล้วหละต้องทำอะไรสักอย่างและอยากเชิญผู้อ่านมาศึกษาไปพร้อมๆกันค่ะ

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักตลาดหุ้นอเมริกากันนะคะ ในสหรัฐอเมริกามีตลาดหุ้นหลักอยู่ 2 แห่ง คือตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ตัวย่อ NYSE (New York Stock Exchange) และ ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ (National Association of Securities Dealers Automated Quotation) เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลกที่มีการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้มีตลาดรองคือ OTC (เป็นการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ ผ่านบริษัทนายหน้า OTC ย่อมาจาก Over the Counter) หุ้นส่วนใหญ่ในตลาด OTC จะเป็นหุ้นมาจากต่างประเทศที่ต้องการระดมทุนในประเทศอเมริกา 

ในด้านดัชนีหุ้นอเมริกาที่เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เหมือนดัชนี SET index บ้านเราก็ SET50 SET100 ค่ะ 

ดัชนีตัวแรก คือ S&P500:  เป็นดัชนีวัดมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของนิวยอร์กและ Nasdaq เป็นดัชนีที่แสดงภาพรวมของตลาดและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้ดี 

Dow Jones: คำนวณจากค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ จำนวน 30 บริษัทที่สำคัญของเศรษฐกิจอเมริกา 

Nasdaq composite: ดัชนีนี้จะรวมหุ้นทุกบริษัทที่จดทะเบียนใน Nasdaq ซึ่งมีมากกว่า 3,700 บริษัท

NQ100: หุ้นเทคโนโลยี หุ้นนวัตกรรม บริษัทใหญ่ 100 บริษัทแรกของตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq 

ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ทำให้เราเข้าใจการจัดดัชนีของตลาดหุ้นในอเมริกาก่อน ต่อจากนี้เนื้อหาจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้เขียนจะแชร์ทั้งเทคนิคการเทรดและลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้อ่านอย่างแน่นอนค่ะ

จุดเริ่มต้นของการสนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศคือ เราเคยทำงานอยู่ต่างประเทศและคิดว่าเราไม่ควรจำกัดให้การลงทุนของเราอยู่แค่ประเทศไทยเท่านั้น การเปิดประตูสู่โลกกว้างเป็นการพัฒนาให้คนไทยอย่างเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก อยากให้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบ้านเรา

จากที่ได้เห็นนักลงทุนคนใกล้ตัวเลย หลายคนประสบความสำเร็จจากตลาดต่างประเทศ เลยหันกลับมามองตัวเองว่าเราก็ต้องทำได้และอยากแชร์ให้ผู้อ่านมีความรู้และประสบความสำเร็จไปด้วยกันค่ะ การลงทุนในตลาดต่างประเทศสิ่งแรกที่นึกถึงเลยคือวิธีการจัดการกับความเสี่ยง เพราะเราจะขนเงินเราไปทั้งทีก็ต้องวางแผนให้ดีค่ะ

หลักๆเลยคือเรื่องของค่าเงิน เวลาเรานำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศเราก็ต้องแปลงค่าเงินบาทเป็นดอลล่าร์ ตอนนั้นที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาถือว่าเป็นจังหวะที่ดีมากเพราะค่าเงินบ้านเราแข็งค่าขึ้นจนหลุดระดับ 30 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อช่วงปลายปี 2019 แล้วพอมาปี 2022 เงินบาทอ่อนค่าช่วงเดือนตุลาคม ราวๆ 38 บาทต่อดอลล่าร์เลยทำให้กำไรในพอร์ตหุ้นอเมริกาได้ประโยชน์จากค่าเงินเป็นอย่างมาก ด้วย

ตลาดหุ้นอเมริกามีความผันผวนค่อนข้างสูง มากกว่าตลาดหุ้นไทย 2-3 เท่า ผลดีคือเรามีโอกาสทำผลตอบแทนได้สูงมากและหุ้นหลายตัวก็เป็นหุ้นระดับโลกแต่ผลเสียคือความเสี่ยงเราก็จะสูงมากเช่นกัน เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องบริหารความเสี่ยงบริหารเงินของเราให้ดีเลิศ จำนวนเงินที่เราจะใช้ลงทุนเริ่มต้นเท่าไหร่ ด้วยเงินทุนที่เรามีจำกัดเราจึงต้องจำกัดความเสี่ยงในแต่ละครั้ง ควบคุมผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นไม่ให้ส่งผลเสียหายหนัก เราต้องรู้ว่าเราพลาดได้กี่ครั้งและเวลาเราขาดทุนเราขาดทุนได้เท่าไหร่เพื่อเป็นการทำความเข้าใจหน้าตักตัวเองก่อน

การประเมินขนาดของพอร์ตเราเบื้องต้นแบ่งได้เป็นขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพื่อมาวางกลยุทธ์ในการลงทุน อย่างผู้เขียนจะจัดว่าพอร์ตขนาดเล็กคือมีเงินลงทุนหนึ่งแสนบาทขึ้นไป การถอนเงินกลับไทยยังมีพวกค่าธรรมเนียมด้วยยิ่งต้องวางแผนให้ดีเลยค่ะ

ถ้าเป็นพอร์ตขนาดกลางอาจจะเริ่มต้นที่หลักล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเราสามารถออกแบบการเทรดของเราเพื่อหากระแสเงินสดกับลงทุนฝังในหุ้นเพื่อรอรอบได้ และถ้าพอร์ตขนาดใหญ่หลักสิบล้านขึ้นไปก็จะเน้นการลงทุนแบบกินคำใหญ่ไปเลยค่ะ หรืออาจจะแบ่งเงินมาสัก20-30% เพื่อเทรดแบบสวิงเทรด และ 70% ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง 

ในการลงทุนในตลาดหุ้นนอกจากเรื่องการคำนวณเงินลงทุนที่เหมาะสมแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงสภาพตลาดด้วยว่าอยู่ในจุดที่เราได้เปรียบหรือไม่ ถ้าเรามีวินัยอดทนรอได้ สุดท้ายจังหวะที่ดีมาถึงและความรู้เรามีพร้อม เราจะสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนมากโดยไม่รู้สึกกลัว เมื่อไรที่เรารู้สึกกลัวในการลงทุนคือเรามีความรู้น้อยหรือรู้ไม่พอนั่นเองค่ะ

ไม่ว่าเราจะเริ่มเร็วหรือช้าสุดท้ายแล้วเทคนิคการเทรดจะตามกันทันแต่ประสบการณ์และวิธีคิดต่างหากที่มันจะไม่เท่ากัน ผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินว่าการลงทุนในตลาดหุ้นประกอบไปด้วย 3 M คือ Mindset วิธีคิด Money การบริหารเงิน และ Method กลยุทธ์

เชื่อหรือไม่ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จให้เปอร์เซนต์กับกลยุทธ์การเทรดน้อยสุดแค่ 10-20% เท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องอยู่ให้ครบรอบของตลาดและถ้าอะไรที่เราเรียนรู้มาแล้วมันใช้ไม่ได้ก็ค่อยเปลี่ยน สำคัญคือเราต้องมีMindset วิธีคิดที่ถูกต้องก่อนเกี่ยวกับการลงทุนกันนะคะ 

ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องของการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นในการเตรียมตัวสู่ตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งผู้เขียนขอลิสท์เป็นหัวข้อไว้ดังนี้ค่ะ 

เรื่องที่ต้องรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกา 

  • เวลาเปิด - ปิด ของตลาดหุ้นอเมริกา 
  • การเลือกโบรคเกอร์
  • ภาษีการลงทุนต่างประเทศ
  • เงินปันผล
  • สินค้าการลงทุนในต่างประเทศ
  • การเลือกและสแกนหุ้น
  • แหล่งข้อมูลข่าวสารบนเวบไซต์ หนังสือ และแพลตฟอร์มต่างๆ ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน
  • เทรนด์การลงทุนในปี 2023 
  • ความรู้ด้านเทคนิคอล
  • ตลาดแต่ละสภาวะกับกกลยุทธ์การลงทุน 
  • การจัดพอร์ตลงทุน 

หัวข้อที่เราจะศึกษากันต่อในปี2023นี้ท้าทายไม่เบาเลยใช่ไหมคะ แต่มันจะเป็นเรื่องง่ายแค่เราลองเปิดใจ โปรดติดตามต่อฉบับหน้านะคะ 

 

โค้ชเจิน : พรพักตร์ ทองโสภา 

 

 

 

TAGS: #DowJones #Nasdaq #SET