ORI กวาดยอดขายต่างชาติครึ่งปีแรก 2567 กว่า 2,500 ล้าน เติบโต 253% เตรียมเดินสายโรดโชว์เปิดตลาดใหม่ อาหรับ-ดูไบ-อินเดีย ควบคู่รักษาฐานฮ่องกง-ไต้หวัน ตั้งเป้าทั้งปีปิดยอดขายต่างชาติทะลุ 5,000 ล้านบาท
พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.2567) บริษัทมียอดขายโครงการที่อยู่อาศัยจากตลาดลูกค้าต่างชาติสูงถึง 2,500 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 253% และทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงหลัง COVID-19 โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดตัว Origin Agent Club จับมือกับเอเจนท์รายใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทสามารถโปรโมทโครงการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและกว้างขึ้น มีช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ประสานงานการขายได้แบบ Real-time
“ปัจจัยภายนอกหลายๆ ด้านในขณะนี้ ก็หนุนให้ชาวต่างชาติมองไทยในฐานะประเทศจุดหมายปลายทางของการเป็นบ้านพักตากอากาศและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวมากยิ่งขึ้น เช่น ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ในเมียนมา ส่งผลให้ผู้ที่มีกำลังซื้อในเมียนมา หันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้น ปัจจัยด้านราคาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศในเอเชียหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน ปรับตัวสูงขึ้น ก็ส่งผลให้คนหันมาสนใจประเทศไทยแทนเช่นกัน” นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับท็อป 3 สัญชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยของออริจิ้น สูงที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่
1.รัสเซีย มียอดขายสูงเนื่องจากบริษัทเปิดโครงการใหม่ในภูเก็ต ซึ่งเป็นแถบที่ชาวรัสเซียให้ความสนใจหลายโครงการ
2.เมียนมา โดยมียอดขายเติบโตสูงถึง 880% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
3.จีน โดยทั้ง 3 สัญชาติรวมกันครองสัดส่วนยอดขายมากกว่า 64% ของยอดขาย 2,500 ล้านบาท ขณะที่ไต้หวันและฮ่องกง ครองอันดับ 4 และอันดับ 5
ส่วนโครงการที่มียอดขายจากต่างชาติในระดับท็อป ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) โครงการใหม่ในภูเก็ตที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ 2.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor)โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีใจกลางเมือง และ 3.โซโห แบงค็อก รัชดา (SOHO Bangkok Ratchada) อีกหนึ่งโครงการในทำเลซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติ
พีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 (ก.ค.-ธ.ค.2567) บริษัทมีแผนเดินสายโรดโชว์เพื่อขยายตลาดลูกค้าต่างชาติไปสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทั้งในดูไบ และอาบูดาบี เนื่องจากอินเดียมีดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจเติบโตมากที่สุดในเอเชียในระดับที่อาจจะแซงจีน
ขณะที่ UAE เป็นประเทศปลอดภาษี จึงมีกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูงจากหลายสัญชาติรวมตัวอยู่จำนวนมาก ขณะเดียวกัน บริษัทจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับ Key Agent เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ควบคู่กันไปด้วย