ก.คลัง เผยตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นักลงทุนเชื่อมั่นเศรษฐกิจ สำนักงาน ปปง. ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับความร่วมมือในการป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) โดยร่วมประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อทำให้กระบวนการทำงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในตลาดทุนเกิดความรวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายแก่ผู้ลงทุน
“ของเดิมมีกฏหมายอยู่แล้ว แต่บางครั้งขั้นตอนในการทำความเข้าใจอาจยังไม่ตกลงกัน เมื่อก่อนเวลาใครเจออะไรก็จะส่งไปให้แค่หน่วยงานเดียว กว่าจะดู กว่าจะทำความเข้าใจกันก็ต้องใช้ระยะเวลา แต่การเซ็น MOU ครั้งนี้ จะได้ช่วยกันดูและทำความเข้าใจร่วมกันในทันทีและเทคแอคชั่นเลยเพื่อระงับเหตุระหว่างวันได้อย่างรวดเร็ว “ พิชัย กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมองว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากที่ปัจจัยหลายอย่างเริ่มอยู่ในสถานการณ์ที่ดี ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจไทย และมาตรการต่างๆแล้ว ยังมาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในการที่หน่วยงานต่างๆร่วมมือกันในการตรวจสอบและเร่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิด ที่สามารถเห็นผลออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
“ผมแอบคำนวณคร่าว ๆ ตอนช่วงดัชนีที่ 1,800 จุด ตลาดหุ้นไทยจะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปอยู่ที่ประมาณ 22-23 ล้านล้านบาท แสดงว่าทุกๆ ดัชนี 100 จุด จะมีมูลค่า 1.3-1.4 ล้านล้านบาท วันนี้ดัชนี Scale Down ลงมา 1,300 จุด หากดัชนีปรับขึ้น 100 จุด จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคป 1.2-1.3 ล้านล้านบาท ถ้าปรับขึ้น 200 จุด มาร์เก็ตแคปก็จะเพิ่มประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับคนที่ถือหุ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย ซึ่งทุกคนจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นทันที ผมคิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่น่าจะตอบโจทย์ของผู้ลงทุนความมั่งคั่งจะเพิ่มขึ้น” พิชัย กล่าว
ด้านความคืบหน้าของการเสนอขายกองทุนวายุภักษ์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และมีการสำรวจความต้องการของกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาพิจารณาในรูปแบบการเสนอขายให้เหมาะสม โดยคาดว่าจะเสนอขายกองทุนวายุภักษ์ได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคมนี้
สำหรับกรณีที่นักลงทุนมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ มองว่าคนที่อาสาเข้ามาครม.ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องมีหน้าที่ปฏิบัติและดำเนินนโยบายเพื่อให้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งนั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือ ประเทศไทยมีจุดแข็งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของประเทศ มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจเดิม เรามีโอกาสทางธุรกิจหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังมากนัก ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นใครเข้ามา ถ้ามีการผลักดันจริงๆย่อมเป็นผลดีอย่างแน่นอน
สำหรับกรณีน้ำท่วมหลายคนอาจเกิดความกังวล แต่ส่วนตัวดูแล้วสถานการณ์คงไม่รุนแรงเหมือนปี 54 ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับธนาคารภาครัฐ ซึ่งหลายธนาคารก็มีการแจ้งมาตลอดว่า ในส่วนที่เป็นลูกค้าของธนาคารนั้นจะมีการเสนอมาตรการและออกแพกเกจเพื่อช่วยเหลือลูกค้า เพื่อยืดหยุ่นผ่อนคลายหนี้เป็นระยะเวลา 3-6 เดือนเพื่อให้สถานการณ์ผ่อนคลายมากขึ้น
“ผมมีการติดตามและจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ และจากการวินิจฉัยของทีมงานที่ลงไปในพื้นที่คาดการณ์ว่าไม่มีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากนัก อย่างไรก็ตามมองว่าผลกระทบน้ำท่วมนั้นจะกระทบต่อการเติบโตของ GDP หรือไม่ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหา ถ้าเราแก้ไขได้เร็ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” พิชัย กล่าวเสริม
ด้านค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่ามองว่าเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งมองว่ายังไม่มีผลกระทบต่อภาคการส่งออกแต่อย่างใด และปัจจุบันยังคงเห็นปริมาณและราคาสินค้าต่างๆที่ส่งอออกอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง