SET Index สิ้นปีลุ้นแตะ 1494 จุด รับแรงหนุนFund Flows กองทุนวายุภักษ์และเงินดิจิทัล

SET Index สิ้นปีลุ้นแตะ 1494 จุด รับแรงหนุนFund Flows กองทุนวายุภักษ์และเงินดิจิทัล
นักวิเคราะห์ คาด Fund Flows จากต่างประเทศ กองทุนวายุภักษ์ และมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท  หนุน SET Index สิ้นปี 1494

สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

**สมมติฐานหลัก**

• ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 79.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

• คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 2.64% (ก.ค.67) ลดลงมาเหลือ 2.62%

• สมมติฐาน GDP ปี 68 คาดว่าต่ำสุดที่ 2.4% และสูงสุดที่ 3.5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.01%

• Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.65%

• Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.76%

**สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567แบ่งเป็น**

- ปัจจัยบวก นำโดย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย และกองทุนวายุภักษ์ ผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เท่ากัน เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ปัจจัยรองลงมา96% เท่ากันโหวตให้มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยผลประกอบการของ บจ.ปี67 ผู้ตอบ 88% และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ 72% ตามลำดับ

- ส่วนปัจจัยลบ คือ  ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 64% ของผู้ตอบทั้งหมด รองลงมาทุกปัจจัยที่มีผลโหวตต่ำกว่า 50% ของจำนวนผู้โหวต เช่น การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก 40% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 36% ตามลำดับ  

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 48 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.25% และมีผู้ตอบร้อยละ 43 มองว่าอยู่ที่ 2.50% และร้อยละ 9 มองว่าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2% ตามลำดับ

ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้ตอบร้อยละ 46 คาดว่าจะอยู่ที่ 2% รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 25 มองว่าปรับลดลงมาที่ 1.75% ถัดมาผู้ตอบร้อยละ 13 มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 2.50% และร้อยละ 8 มองว่าปรับลดเพียงเล็กน้อยที่ 2.25% มีเพียงผู้ตอบร้อยละ 8 ที่คาดว่าจะปรับลดลงที่ 1.50%  

ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 89.91 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่91.4 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.18% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 98.65 บาท

เป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,494 จุด  และคาดการณ์ SET Index ตลอดปี 2568 จะแกว่งตัวในกรอบ 1365 ถึง 1634 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,614 จุด

**แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น**

-เงินสดและเงินฝากระยะสั้น  6.43%

-กองทุนตราสารหนี้  20.30%

-หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย  32.22%

 -หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  23.65%

 -กองทุนอสังหาฯหรือ REIT  9.04%

-ทองคำหรือกองทุนทองคำ  8.35%

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี-AI และ Healthcare Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก Finance การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดเกษตร ยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี
 

**รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)**

1. AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี

2. BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น

3. CPALL  ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น

4. GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อยอด Tourism Province & Connects 

รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ  การเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ถัดมาด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สนับสนุนโครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น Entertainment Complex รวมทั้งออกมาตรการ soft loan และ refinance ให้ SMEs และตามมาด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย / ครัวเรือน มาตรการลดภาษี และสนับสนุนค่าเล่าเรียนเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่มีลูกเพิ่ม

TAGS: #SETIndex