หลักทรัพย์บัวหลวง มองตลาดหุ้นทั่วโลกโค้งสุดท้ายปี 67 มีโอกาสปรับฐานจากเศรษฐกิจโลก เสี่ยงชะลอตัว แนะผู้ที่กำลังวางแผนบริหารภาษีและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว ด้วย “กองทุนลดหย่อนภาษี”
เสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกว่า
มีโอกาสปรับฐานจากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำให้มูลค่า (Valuation) หลายตลาดค่อนข้างตึงตัวเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดต่อจากไปนี้
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนจะใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่วยบริหารจัดการภาษีและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
จากการลงทุนระยะยาว เราแนะนำกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยัง “กองทุนลดหย่อนภาษี” ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
โดยรายงาน BLS Top Funds แนะให้เลือกลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก, ลงทุนในตลาดที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัว (Earnings Growth) และมูลค่า (Valuation) น่าสนใจ สะท้อนผ่าน Trailing P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน คือ
1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลดีจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีกำไรเติบโตดี และกระแส AI ยังมาแรง แนะนำรอจังหวะย่อตัว เพื่อเข้าลงทุนในกองทุน B-INNOTECHSSF และ B-INNOTECHRM เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดีทั่วโลก และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีราคาแพง ซึ่งกองทุนนี้จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดได้อย่างดี
2. ตลาดหุ้นเวียดนนาม ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี และ Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามจัดอยู่ในตลาดหุ้นชายขอบ (frontier market) และอยู่ในรายชื่อการพิจารณาของ FTSE เพื่ออัปเกรดเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (emerging market) โดยอาจขยับสถานะขึ้นในปี 2568 แนะลงทุนกองทุน B-VIETNAMSSF และ PRINCIPAL VNEQRMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้น ด้วยกลยุทธ์ทั้ง Top Down และ Bottom Up เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
3. ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง ปัจจุบัน Valuationอยู่ในระดับที่ถูก และมีโอกาสที่กำไรจะฟื้นตัว จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาคึกคัก แนะนำลงทุนกองทุนMEGA10CHINA-SSF และMEGA10CHINARMF ที่ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 บริษัทแรก และมีสภาพคล่องสูง โดยกองทุนมักสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม Alpha ได้ดีกว่ากลุ่ม เมื่อตลาดหุ้นมี Momentum เชิงบวก
4. หุ้นกลุ่มสุขภาพ ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มีความทนทานต่อเศรษฐกิจถดถอย และกำไรเริ่มกลับมาฟื้นตัว แนะนำลงทุนกองทุน KT-HEALTHCARE-SSF และ KT-HEALTHC RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลก สไตล์ Balance Portfolio ทั้งในหุ้นสุขภาพแบบดั้งเดิมและนวัตกรรม โดยหุ้นที่กองทุนเลือกลงทุนจะมียอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนผลตอบแทนให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
5. ตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันปัจจัยลบเริ่มคลี่คลาย หลังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการสนับสนุนตลาดทุน ซึ่งจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนได้เป็นอย่างดี แนะนำลงทุนกองทุน B-TOP-THAIESG ที่คัดเลือก
หุ้นไทยคุณภาพดี มีศักยภาพในการเติบโต โดยกองทุนนี้สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับกลุ่ม
ทั้งนี้รายงาน BLS Top Funds ยังแนะนำจัดพอร์ตตามความเสี่ยง โดยสามารถนำกองทุน SSF, RMF และ Thai ESG ตัวท็อปผลงานเด่นในข้างต้นที่คัดสรรโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาผสมสัดส่วนการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ผลงานดี เพื่อสร้างสมดุลให้กับพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้ในระดับต่ำ กลาง และสูง แนะนำกองทุน KFAFIXSSF และ KKP INRMF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางคุณภาพดีทั้งภาครัฐฯ และเอกชน
“ผู้ที่กำลังวางแผนลดหย่อนภาษีปี 2567 เราแนะให้ลงทุนใน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนหุ้น ESG ไทย และ/หรือตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนไทย (ESG Bond) ให้เต็มจำนวน โดยไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินทั้งปี และลงทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งวงเงินลงทุนของ Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนอื่น ๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากนั้นหากมีเงินเหลือค่อยลงทุนใน SSF และ RMF จนครบสิทธิ โดยผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี ให้ลงทุน SSF ให้เต็มสิทธิก่อน ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ให้ลงทุน RMF ให้เติมสิทธิก่อน ที่เหลือค่อยลงทุนในกองทุน SSF ให้ครบ” นายเสริมศักดิ์ กล่าว