ตลาดเงิน/ทุน 2-6 ธ.ค. บาทแข็งหลุดแนว 34บาท/USD หุ้นไทยดีดขึ้น รับบิ๊กเทคโลกเยือนไทย

ตลาดเงิน/ทุน 2-6 ธ.ค.  บาทแข็งหลุดแนว 34บาท/USD  หุ้นไทยดีดขึ้น รับบิ๊กเทคโลกเยือนไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำรวจต้นเดือนธ.ค.บาทแข็งค่ารอบ1 เดือนแตะ 33.95/ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหุ้นไทยได้2 อานิสงส์ กองทุนลดหย่อนภาษี-บิ๊กเทคมาไทย

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

เงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือนที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกและการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียในภาพรวมท่ามกลางความกังวลต่อสัญญาณเตรียมเดินหน้ามาตรการกีดกันทางการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยแข็งค่ากลับมาในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยแข็งค่าหลุดแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ กลับมาเผชิญแรงขาย หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายตัวออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด อาทิ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย. ที่เพิ่มน้อยกว่าคาด จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มมากกว่าคาด และดัชนี ISM ภาคบริการเดือนพ.ย. ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง แม้ประธานเฟดจะส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ

มีความแข็งแกร่งกว่าที่เฟดประเมินไว้ในเดือนก.ย. ซึ่งน่าจะทำให้เฟดสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะถัดไปได้ก็ตาม

ในวันศุกร์ที่ 6 ธ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 พ.ย. 67)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 2-6 ธ.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,357 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 6,986 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 7,490 ล้านบาท หักด้วยตราสารหนี้หมดอายุ 503 ล้านบาท)

สัปดาห์ระหว่างวันที่ 9-13 ธ.ค. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ ระดับ 33.60-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของญี่ปุ่น และตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนพ.ย. อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขการส่งออก และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเช่นกัน

 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น รับแรงซื้อจากกองทุนลดหย่อนภาษีช่วงปลายปีและข่าวการมาเยือนไทยของผู้บริหารบริษัทเทครายใหญ่ของสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงช่วงต้นสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งคาดว่ามาจากกองทุนลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีเป็นหลัก โดยแรงซื้อหุ้นกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม นำโดย กลุ่มแบงก์ เทคโนโลยี และค้าปลีก

นอกจากนี้ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากรายงานข่าวเกี่ยว กับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยประเด็นดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์หากบริษัทดังกล่าวเข้ามาลงทุนในไทย นำโดยบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทผู้ประกอบธุรกิจด้านพลังงาน

อย่างไรก็ดีกรอบการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยเริ่มจำกัดในเวลาต่อมาท่ามกลางสัญญาณระมัดระวังของนักลงทุนเนื่องจากมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์ ประกอบกับนักลงทุนยังรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงานของ สหรัฐฯ ช่วงปลายสัปดาห์

ในวันศุกร์ที่ 6 ธ.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,451.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.71% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,930.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.28% มาปิดที่ระดับ 321.60 จุด

สัปดาห์ถัดไป (9-13 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,440 และ 1,430 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,465 และ 1,475 จุด ตามลำดับ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ผลการประชุม ECB ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย.ของญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขการส่งออก

TAGS: #ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #เงินบาท #หุ้นไทย