ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองรอบปี67 เงินบาททยอยอ่อนค่า ก่อนพลิกแข็งช่วงไตรมาส3 สัปดาห์สุดท้ายธค.ปิด 34.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ หุ้นไทยร่วงแต่กลับมายืนเหนือ 1,400 จุดช่วงท้ายปี
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในระหว่างสัปดาห์เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ประกอบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย (รวมเงินบาท) ได้รับแรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินเยน หลังจากที่กระทรวงการคลังญี่ปุ่นกล่าวย้ำถึงความกังวลของญี่ปุ่นเกี่ยวกับแรงขายเงินเยนที่มากเกินไปในระยะนี้
อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกลงบางส่วนในระหว่างสัปดาห์ โดยมีปัจจัยลบจากตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพ.ย. ที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย (การส่งออก +8.2% YoY ตลาดคาดที่ +9.0%) เงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ตามอานิสงส์ของการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการขยับแข็งค่าขึ้นของเงินเยนรับสัญญาณในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินจากบันทึกการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันที่ 18-19 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ในวันศุกร์ที่ 27 ธ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 ธ.ค. 67)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 23-27 ธ.ค. 2567 นั้นนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,468 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,209 ล้านบาท (แบ่งเป็นขายสุทธิพันธบัตร 1,208.4 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 0.7 ล้านบาท)
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 2567 - 3 ม.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.90-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน
สำหรับภาพรวมระหว่างวันที่ 2 ม.ค. - 27 ธ.ค. 2567 นั้น เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ 27 ธ.ค. 67) แข็งค่าขึ้น 0.3% จากระดับ 34.14 บาทต่อดอลลาร์ฯ ณ สิ้นปี 2566 เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
โดยมีปัจจัยกดดันในช่วงต้นปีจากความกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการอ่อนค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย นำโดยเงินเยนและเงินหยวน สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นหลังสัญญาณกังวลเงินเฟ้อจากเฟดทำให้ตลาดประเมินว่า จังหวะการปรับลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็ว ทั้งนี้
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือนที่ 37.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนเม.ย. 2567 ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนตามการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำในตลาดโลก
ขณะที่ แรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ เริ่มชะลอลง หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ น่าจะแตะจุดสูงสุดไปแล้ว เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3/2567 โดยมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของไทยที่ออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยน หลัง BOJ เริ่มคุมเข้มนโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ กลับมาเผชิญแรงเทขายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 50 basis points ในการประชุม FOMC เดือนก.ย. 2567 โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนที่ 32.15 บาทต่อดอลลาร์ฯในช่วงปลายเดือนก.ย. 2567
อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 สอดคล้องกับสัญญาณฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทยและ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ในเดือนต.ค.2567
ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจุดชนวนความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งของนโยบายการค้า (ทำให้เงินหยวนสกุลเงินเอเชียและเงินบาทอ่อนค่าลง)
ประกอบกับเฟดมีการปรับมุมมองที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในปี 2568 ซึ่งสะท้อนว่า แม้เฟดอาจจะยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องแต่จังหวะและจำนวนรอบของการปรับลดดอกเบี้ยอาจชะลอลงและมีความไม่แน่นอนมากขึ้น
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบางในช่วงใกล้สิ้นปี SET Index ขยับขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ (จากร่วงลงแรงก่อนหน้านี้) สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากสหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงภาวะ Government shutdown ได้
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากแรงซื้อของกองทุนลดหย่อนภาษีช่วงสิ้นปี ตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. ของไทยที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 จากภาครัฐ ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อหุ้นหลายกลุ่ม นำโดยกลุ่มค้าปลีก
หุ้นไทยย่อตัวลงช่วงสั้นๆ ระหว่างสัปดาห์จากแรงขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลัง กพช. มีมติให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมออกไปก่อน
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดได้อีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ตามแรงหนุนจากการทำ Window Dressing ขณะที่ปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนก่อนวันหยุดช่วงปีใหม่
ในวันศุกร์ที่ 27 ธ.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,401.46 จุด เพิ่มขึ้น 2.67% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 31,401.77 ล้านบาท ลดลง 38.01% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.42% มาปิดที่ระดับ 310.10 จุด
สัปดาห์ถัดไป (30 ธ.ค. 67 - 3 ม.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,385 และ 1,375 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,410 และ 1,420 จุด ตามลำดับ
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทำ Window Dressing ช่วงสิ้นปี และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. 2567 ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. 2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. 2567 ของญี่ปุ่น จีนและยูโรโซน
สำหรับภาพรวมระหว่างวันที่ 2 ม.ค.-27 ธ.ค. 2567 นั้น ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,401.46 จุด (ณ 27 ธ.ค. 67) ลดลง 1.02% จากระดับ 1,415.85 จุด ณ สิ้นปี 2566
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงตั้งแต่ต้นปีท่ามกลางหลายปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังจากมีการปรับลดประมาณการจีดีพีไทยปี 2567 และ 2568 ลงโดยหลายหน่วยงานความกังวลเกี่ยวกับการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงเป็นเวลานานของเฟด ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-เลบานอน ตลอดจนความไม่แน่นอนของประเด็นการเมืองในประเทศ
โดยดัชนี SET แตะจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 9 เดือนที่ระดับ 1,273.17 จุดในช่วงต้นเดือนส.ค. 2567 ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นได้ในเวลาต่อมา
ปัจจัยที่หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2567 ได้แก่ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และการจัดตั้งครม. ที่ดำเนินการได้และมีข้อสรุป ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของไทยที่ออกมาดีกว่าคาดการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของทั้งเฟดและกนง.
อย่างไรก็ดี หลังจากดัชนีหุ้นไทยแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีที่ 1,506.82 จุดช่วงกลางเดือนต.ค. 2567 ก็ได้ทยอยลดช่วงบวกลงจนถึงช่วงปลายปี เนื่องจากตลาดประเมินว่า เฟดอาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าและมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐฯ