BAFS เรียนรู้ช่วงเปลี่ยนผ่านปรับโหมดรายได้รุกธุรกิจเสริม

BAFS เรียนรู้ช่วงเปลี่ยนผ่านปรับโหมดรายได้รุกธุรกิจเสริม
BAFS ตั้งงบลงทุนปีนี้ 1 พันล้านลุยต่อท่อน้ำมัน-พลังงานสะอาด เล็งตั้งคลัง SAFS รองรับเทรนด์โลกการบิน เตรียมดึงพันธมิตรเพิ่ม 2 ราย ส่งเสริมการใช้ในระยะยาว

ม.ล.ณัฐสิทธิ์  ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่าการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดใช้บริการรันเวย์ที่ 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิเอื้อต่อธุรกิจให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยาน โดยคาดการณ์ปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานจะขยายตัว 8-9%  หรือมีปริมาณใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดที่ระดับ 6,300 ล้านลิตร

ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อ ยังต้องระมัดระวังจากปัจจัยเศรษฐกิจไทยยังโตไม่เท่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินครัวเรือนเนื่องจากมีผลต่อการใช้น้ำมันในประเทศ แต่ในภาพรวมของปีที่ผ่านมายอดใช้น้ำมันทางท่อยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผู้ค้าน้ำมันเปลี่ยนโหมดการขนส่ง จากเดิมรถบรรทุกจากโรงกลั่นน้ำมันภาคตะวันออกขึ้นไปภาคเหนือ แต่ปัจจุบันเป็นการขนส่งน้ำมันทางท่อ เพื่อช่วยลดต้นทุน

สำหรับการเพิ่มทุนในบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด (BPT)   จำนวน 90 ล้านบาท ตามการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในช่วงไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้ BAFS มีสัดส่วนการถือหุ้นใน BPT อยู่ที่ 75.03%  โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2-3 รายที่สนใจเข้าซื้อหุ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของ BAFS ลดลงแต่ยังมากกว่า 50% เพื่อนำเงินมาใช้ลงทุนในโครงการเชื่อมต่อระบบท่อจากคลังน้ำมันสระบุรีไปภาคเหนือ

ทั้งนี้ได้กำหนดงบลงทุนไว้ 1,000 ล้าน บาท โดยงบ 50%นำไปใช้ในโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันสายหนือระยะที่ 3 (สระบุรี-อ่างทอง) ของ BPT  กับบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) มีระยะทาง 52 กม. โดยเตรียมเปิดให้บริการภายในปี 2569  รองรับการขนส่งน้ำมันทางท่อได้เพิ่มขึ้นกว่า 700 ลิตรต่อปี

ส่วนงบลงทุนส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ในธุรกิจ Power ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่องของโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์(โซลาร์ฟาร์ม)ในประเทศมองโกเลีย จำนวน 2 โครงการ รวม 51 เมกะวัตต์ คือ โซลาร์ฟาร์มขนาด 21 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2568 และโซลาร์ฟาร์ม ขนาด 30 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2569

นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จ.สุราษฎร์ธานี ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ที่ร่วมกับกลุ่มบริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2569

อย่างไรก็ตามในระยะ5 ปีข้างหน้า (2568-2572) BAFS ได้ปรับโครงสร้างรายได้ของบริษัท เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยจะลดสัดส่วนของธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับอากาศยาน จากเดิม 70% เหลือ 50% ขณะที่จะไปเพิ่มในสัดส่วนของธุรกิจเสริมได้แก่ การขนส่งทางท่อน้ำมัน พลังงานหมุนเวียน ในสัดส่วน 40% จากเดิม 30%  และที่เหลือเป็นธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น 10%

ม.ล.ณัฐสิทธิ์   กล่าวถึง  ธุรกิจเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน(SAF) ซึ่งอยู่ในธุรกิจหลักของบริษัท ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาสร้างคลังเพื่อรองรับการจัดเก็บและเชื่อมโยงการขนส่งไปยังท่อ ระบบราง และเรือ  ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท  ซึ่งต้องยอมรับว่า SAF  จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการบินมากขึ้น เนื่องจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)มีกฎกติกากำหนดไว้ว่าสายการบินต้องเริ่มใช้ SAF ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป และในปี 2593 ต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ในเครื่องบินอย่างน้อย 75%

ทั้งนี้รูปแบบที่ BAFS ดำเนินการอยู่จะทำหน้าที่การขนส่ง รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันที่ขนส่ง ที่ผ่านมาได้ลงนามเอ็มโอยูกับพันธมิตรหลายราย ทั้ง บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น (มหาชน)  กลุ่มน้ำตาลมิตรผล   บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR  และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหารือกับบริษัทน้ำมันต่างชาติ 2-3 ราย เพื่อเข้ามาร่วมส่งเสริมการใช้ SAF

“BAFS วางเป้าหมายในการปรับโครงสร้างรายได้ โดยเพิ่มในสัดส่วนของธุรกิจเสริม ทั้งพลังงานหมุนเวียน ท่อขนส่งน้ำมัน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ SAF   ขณะเดียวกันธุรกิจประกอบรถเติมน้ำมันEV  ของบริษัท บาฟส์ อินเทค (BAFS INTECH) ก็มีการส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าทั้งภายในและต่างประเทศแล้ว โดยนำโนฮาวมาตอบโจทย์เทรนด์โลก ผมคิดว่าครงนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะเพราะเรามีโนฮาวรถเติมน้ำมัน  ซึ่งสเปคไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับลูกค้าปลายทางตอนนี้มีออเดอร์อยู่ 20 คัน  ผมมองว่าไม่ได้หยุดแค่รถเติมน้ำมันอากาสยาน รถอะไรก็ได้ที่เป็นรถเฉพาะทาง เช่น รถดับเพลิง รถดูดฝุ่น  ผมว่าเราทำได้โนฮาวใกล้เคียงกัน”

 

TAGS: #BAFS #ท่อน้ำมัน #พลังงานสะอาด #SAFS #