SCC ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 3-5% เคาะปันผลประจำปี 5.00 บาท

SCC ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 3-5% เคาะปันผลประจำปี 5.00 บาท
SCC ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 3-5% รับแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว เคาะปันผลประจำปี 5.00 บาท

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 3-5% EBITDA เติบโตมากกว่าปี 67 ที่ 5.4 หมื่นลบ. จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง หนุนธุรกิจเคมิคอลส์ 2.การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐฯ กลับมาเป็นปกติ และ 3. การเติบโตของธุรกิจในประเทศเวียดนาม-อินโดนีเซีย โดยประเมินเศรษฐกิจ (GDP) ประเทศเวียดนามโตราว 8% และประเทศอินโดนีเซียโตราว 6%

รวมถึงกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น จากโครงการต่างๆ ที่ขยายตัว รวมถึงยังสามารถส่งออกสินค้าไปประเทศอเมริกาได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ วางงบการลงทุนปี 2568 รวมกว่า 3.5 หมื่นลบ. แบ่งเป็น 25% ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ส่วนที่เหลือกระจายการลงทุนในทุกกลุ่มธุรกิจรวมถึงความร่วมมือกันพันธมิตรในอนาคต

โดยปี 2567 เอสซีจีสามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 เป็นผลจากการปรับตัวสู้ความท้าทายจากวัฏจักรปิโตรเคมีชะลอตัว สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ต้นทุนพลังงานผันผวน และอัตราดอกเบี้ยสูง ขณะที่ในไทย การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐล่าช้าจากปีก่อน หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง สินค้าจีนเข้ามาแข่งขัน ทำให้เอสซีจีคงความแข็งแกร่ง และสามารถดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ปี 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปัน ผลประจำปี ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร XD วันที่ 2 เม.ย.68 กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 22 เม.ย.68 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี

“เอสซีจี” มุ่งสร้างสุขภาพองค์กรให้แข็งแรง ด้วยการรักษากระแสเงินสด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารธุรกิจ ที่ผ่านมาได้เดินหน้า มาตรการเสริมความเข้มแข็ง ซึ่งได้แถลงไปเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี 
1) บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน 
2) ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการทำงาน 
3.) ควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว 
ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้หนี้สินสุทธิ ลดลง 16,777 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท

“เอสซีจี” พร้อมคว้าโอกาสเศรษฐกิจภูมิภาคฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐของไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อาเซียน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ (GDP) ประเทศอินโดนีเซีย คาดเติบโตราว 6% และประเทศเวียดนาม คาดเติบโตราว 6% ซึ่งเป็นการเติบโตกว่าค่าเฉลี่ยโลก 

โดยมีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ ก่อสร้าง เช่น “เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล” เร่งขยายโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าเพื่อที่อยู่อาศัย "Mitra 10' ที่อินโดนีเซีย ตามเป้าหมาย 56 สาขา ในปี 2567 รับลูกค้ารวมมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน และมุ่งสู่ 100 สาขาภายในปี 2573 ด้าน เอสซีจีพี การ บริโภคภายในกลุ่มอาเซียนรวมถึงความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)” แม้ว่าปี 2567 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ๆ ที่ เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินค้าอ่อนตัวจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว บริษัทได้เร่งผลักดันนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ทำให้ธุรกิจคงความสามารถในการแข่งขันต่อเนื่อง 

ขณะที่ปี 2568 วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง บริษัทคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสด และต้นทุน

ล่าสุดบริษัทฯ เร่งเดินหน้าโครงการ “ลองเชิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochenicals - LSP)” ผ่านการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ 

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ รวมถึงสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงานให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570 โดยโครงการนี้ใช้แหล่งเงินทุนภายในเอสซีจี คาดใช้งบลงทุนราว 6 พันลบ. และคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี หลังเปิดดำเนินการ (COD) ในปี 2570

ขณะเดียวกัน “เอสซีจี” รุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดย “เอสซีจี ซีเมนต์แลนด์กรีนโซลูชันส์” เร่งดันปูนคาร์บอนต่ำ คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน ด้าน “เอสซีจี เดคคอร์” ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ SCGP ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ “เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง” ดันกลุ่มสินค้าสมาร์ทโซลูชัน อาทิ สินค้า Air Quality และ Solar จากแบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งเรื่องคุณภาพอากาศในบ้าน และประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานสะอาด พร้อมออกสินค้ากลุ่มราคาย่อมเยาต่อเนื่อง เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ครบทั้งกลุ่มหลังคา บอร์ต ไม้สังเคราะห์ และผนัง พื้นตกแต่งภายนอกบ้าน 

รวมทั้ง “เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่” ปี 2567 มีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 548 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 21.5% ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังไฟฟ้าสะอาดรวมประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ ในปี 2573

นายธรรมศักดิ์ ย้ำทิ้งท้าย “เอสซีจี ปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เชื่อมั่น ปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่าง แข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนได้ต่อเนื่อง”

ผลประกอบการปี 2567 รายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของ SCGC และ SCGP กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของ LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง 

ทั้งนี้หากไม่รวมรายการพิเศษจากการขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาคและกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรม ของเงินลงทุน เมื่อปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% (YoY) ขณะที่ Q4/67 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (QoQ) จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของ “เอสซีจีซี” ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ขณะที่ไตรมาสก่อนมีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จาก SCGC

TAGS: #SCC #เอสซีจี