‘ราชกรุ๊ป’ ประกาศกลยุทธ์มุ่งจัดการสินทรัพย์สร้างมูลค่าเพิ่ม ทุ่ม 1.5 หมื่นลบ.รุกธุรกิจไฟฟ้าฟอสซิล-พลังงานหมุนเวียน สนลงทุนนิวเคลียร์ตอบโจทย์ลดภาวะโลกร้อน
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานในปี 2568 ว่า กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจหลักไว้ 2 เรื่อง รองรับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆในอนาคต ได้แก่ 1.การปรับพอร์ตสินทรัพย์ด้วยการจัดกลุ่มสินทรัพย์และกำหนดกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์แต่ละกลุ่มให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยครอบคลุมตั้งแต่การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ยังนำโรงไฟฟ้าเดิมมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ โครงการ Synchronous Condenser ของโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ในออสเตรเลีย เป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้ามาใช้สนับสนุนเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์
รวมถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้วและสินทรัพย์ที่ดินเป็นธุรกิจใหม่หรือโครงการใหม่ การเข้าลงทุนซื้อหุ้นจากพันธมิตรเดิมในโครงการที่ยังมีมูลค่าทางธุรกิจ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดรับกับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทฯและลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่
2.มุ่งกระจายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงพลังงานรูปแบบใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โดยบริษัทฯมีเป้าหมายที่จะลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการในมือแล้ว 12 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,700 เมกะวัตต์ประกอบด้วย โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน เบอรีล กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ฟาร์มมารูลัน กำลังการผลิต 152 เมกะวัตต์
โครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ โครงการในประเทศฟิลิปปินส์ ได้แก่ โครงการพลังงานลมใกล้ชายฝั่งซานมิเกล กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 245 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 232.75 เมกะวัตต์ รวมทั้งโครงการพลังงานลมในเวียดนาม ได้แก่ โครงการเบ็นแจ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 39.20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมบนฝั่ง 2 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมประมาณ 140.45 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยอีก 153.97 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ได้ตั้งงบลงทุนไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยนำไปใช้โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา 5,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้มีจำนวน 3 โครงการที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โรงไฟฟ้า นวนครส่วนขยาย โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง1 ในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ในฟิลิปปินส์
นอกจากนี้อีก 1 หมื่นล้านบาทจะนำไปใช้โครงการลงทุนใหม่ในรูปแบบ M&A โครงการGreen Field และ Brown Field ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ได้แก่ พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นพลังงานที่ตอบโจทย์ในเรื่องลดภาวะโลกร้อนได้
ทั้งนี้ให้ความสนใจกับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และจะนำมาอยู่ในแผนของปี 2568 ขณะนี้ได้ร่วมกับทางเครือสหพัฒน์ ศึกษาเทคโนโลยีเครื่องปฎิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ และในเดือนกรกฎาคม ได้กำหนดงาน Nuclear Energy and SMR Forum เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ .
“ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้ 6 พันกว่าล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1.5 หมื่นล้านบาท โดยแต่ละปีคาดการณ์จะมี EBITDA ขยายตัวที่ระดับ 5-10%”
นายนิทัศน์ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,815 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งสิ้น 7,843 เมกะวัตต์ (ร้อยละ 72.5) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,972 เมกะวัตต์ (ร้อยละ 27.5) โดยบริษัทฯมีเป้าหมายลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และร้อยละ 40 ในปี 2578